โอกาสและความท้าทาย
บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งมั่นบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีคุณค่าให้คงอยู่อย่างยั่งยืน เพราะเราตระหนักดีว่าในทุกขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน เราจึงมุ่งมั่นพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตไฟฟ้าควบคู่ไปกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า โดยนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ ตั้งแต่การเลือกเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เลือกเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมในระดับต่ำ ตลอดจนการบำรุงรักษาและปรับปรุงคุณภาพของเครื่องจักรให้มีความทันสมัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เราร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องจักรในการตรวจสภาพความสมบูรณ์ของเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึงประเมินวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment: LCA) เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นได้รับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เราให้ความสำคัญในการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเข้าไปมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับทุกภาคส่วน เพื่อลด บรรเทา และฟื้นฟูผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง
เป้าหมายและผลการดำเนินงาน
| ผลการดำเนินงาน ปี 2567 |
เป้าหมาย ปี 2568 - 2572 |
เป้าหมาย ปี 2573 |
|
|---|---|---|---|
| สัดส่วนของขยะรีไซเคิลต่อปริมาณขยะทั้งหมด | 84.8% | >82% | 88% |
| สัดส่วนของโรงไฟฟ้าที่ตรวจวัดคุณภาพน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิต ตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนดต่อโรงไฟฟ้าทั้งหมด | 100% | 100% | 100% |
| สัดส่วนของโรงไฟฟ้าที่ตรวจวัดคุณภาพอากาศจากปล่องระบาย จากกระบวนการผลิต ตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนดต่อโรงไฟฟ้าทั้งหมด | 100% | 100% | 100% |
การบริหารจัดการและกลยุทธ์
นโยบายและความมุ่งมั่น
บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมสุขภาพอนามัย ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน จึงกำหนด นโยบายด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน เพื่อให้ทุกหน่วยงานภายในองค์กรและผู้มีส่วนได้เสียสามารถดำเนินงานตามหลักการที่สอดคล้องกัน ตลอดจนสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ
โครงสร้างการกำกับดูแล
บี.กริม เพาเวอร์ กำหนดโครงสร้างการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องในด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบายและมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการทบทวนและปรับปรุงแนวทางอย่างสม่ำเสมอ โดยกำหนดให้พนักงานทุกระดับมีหน้าที่รับผิดชอบในการนำไปปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ผ่านการกำกับดูแลโดยผู้เกี่ยวข้องหลัก ดังนี้
- คณะกรรมการบริษัท มีหน้าที่กำกับดูแลและรับรองนโยบาย กำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ และทบทวนประสิทธิภาพของระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม เป็นประจำทุกปี
- คณะกรรมการบริหารด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วยคณะกรรมการบริหารและตัวแทนจากคณะทำงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม มีหน้าที่จัดทำนโยบายและกลยุทธ์ รับผิดชอบและติดตามผลการปฏิบัติงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายและทิศทางขององค์กร
- คณะทำงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วยตัวแทนผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับวิชาชีพจากสำนักงานกรุงเทพฯ และโรงไฟฟ้า มีหน้าที่กำกับดูแล ติดตาม รายงาน และกำหนดแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการทำงาน สิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรป่าไม้ ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและนโยบายของบริษัท โดยมีการประชุมทุกเดือน เพื่อสื่อสารนโยบาย หารือกับผู้มีส่วนได้เสียหลักทั้งภายในและภายนอกองค์กร แบ่งปันมุมมองหรือความคิดริเริ่มในการปรับปรุงระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือและสร้างความตระหนักในหมู่พนักงาน ผู้รับเหมา คู่ค้า หน่วยงานกำกับดูแล และผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
การจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ
การจัดการสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากล
บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านการจัดการที่เป็นระบบและบูรณาการ ครอบคลุมตั้งแต่การวางกรอบการดำเนินงานตามมาตรฐานสากล การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม การบริหารความเสี่ยง ตลอดจนการตรวจติดตามและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง บริษัทได้กำหนดกรอบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลครอบคลุมทั่วทั้งองค์กร รวมถึงบริษัทย่อย คู่ค้า และผู้รับเหมาที่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท ทั้งนี้แนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของบริษัทสอดคล้องกับกฎหมาย ข้อบังคับ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องในระดับประเทศและระดับสากล โดยใช้มาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (ISO 14001:2015) เป็นแนวทางหลักในการกำกับดูแลและยกระดับประสิทธิภาพสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้าในเครือ โดยโรงไฟฟ้าที่ได้รับการรับรองได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ส่วนโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม มีการตรวจสอบภายในและ/หรือจ้างผู้ทวนสอบภายนอกเพื่อประเมิน ปรับปรุง และเตรียมขอรับรองในลำดับถัดไป
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามข้อกำหนดกฎหมาย
โรงไฟฟ้าทุกโครงการของ บี.กริม เพาเวอร์ ดำเนินการศึกษาและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุม โดยพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพของชุมชน เพื่อกำหนดแนวทางป้องกันและลดผลกระทบจากโครงการ รวมถึงจัดทำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรการติดตามตรวจสอบ ตลอดจนแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมในระยะก่อสร้างและระยะดำเนินการ ทั้งนี้ บริษัทได้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) ตามที่กฎหมายกำหนดสำหรับโครงการที่เข้าข่าย รวมถึงจัดทำรายงานการตรวจสอบเบื้องต้นด้านสิ่งแวดล้อม (Initial Environmental Examination: IEE) รายงานการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (Environmental Safety Assessment: ESA) และรายงานประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice: CoP) สำหรับโครงการอื่น ๆ ที่อยู่นอกขอบเขต EIA นอกจากนี้ บริษัทได้มีการเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการตามมาตรการป้องกัน แก้ไข ลด และติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งจัดทำรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องเป็นประจำทุก 6 เดือน
การบริหารความเสี่ยง การตรวจประเมิน และการยกระดับประสิทธิภาพสิ่งแวดล้อม
บี.กริม เพาเวอร์ ดำเนินการติดตามและวิเคราะห์ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยครอบคลุมการพัฒนาและปรับปรุงฐานข้อมูลตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อมให้มีความชัดเจน ครบถ้วน และสอดคล้องกันในทุกโรงไฟฟ้า ทั้งยังมีการกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนตัวชี้วัดความสำเร็จในระดับโครงการและองค์กร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผนและดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ บริษัทมีการทบทวนผลการดำเนินงาน และดำเนินการปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ
บริษัทยังนำแพลตฟอร์ม Essential ERM มาประยุกต์ใช้ในองค์กร เพื่อระบุ ประเมิน จัดการ และติดตามความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรวมศูนย์ข้อมูลความเสี่ยงทั้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอาจเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมวิธีรับมือที่ระบุโดยทุกแผนกของโรงไฟฟ้าและสำนักงานกรุงเทพฯ นำเสนอผ่านแดชบอร์ดแบบเรียลไทม์ เพื่อติดตามภาพรวมของความเสี่ยงได้อย่างครอบคลุมทั้งองค์กร โดยมีตัวอย่างความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกระบุ/ประเมินจากหน่วยงาน เช่น ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากภัยพิบัติธรรมชาติ ความเสี่ยงจากคุณภาพน้ำดิบที่แย่ลงจากคู่ค้า ความเสี่ยงจากการรั่วไหลของขยะอันตรายหรือน้ำทิ้ง รวมไปถึงความเสี่ยงต่อต้นทุนการผลิตจากราคาก๊าซธรรมชาติ (พลังงาน) ที่สูงขึ้น
เรายังจัดตรวจประเมินภายในด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ โดยฝ่ายอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม การประเมินครอบคลุมการปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ISO 14001:2015 และ ISO 45001:2018 รวมถึงข้อกำหนดทั่วไปในด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย อาทิ การจัดการขยะอันตรายและไม่อันตราย การคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง การกำจัดของเสียให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด การเสริมสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในที่ทำงาน และการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน ผลการประเมินถูกจัดทำเป็นรายงานที่ระบุประเด็นที่ควรปรับปรุงอย่างชัดเจน พร้อมแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในแต่ละโรงไฟฟ้า
การประยุกต์ใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน
บี.กริม เพาเวอร์ ตระหนักถึงข้อจำกัดของรูปแบบเศรษฐกิจเส้นตรง (Linear Economy) ซึ่งเน้นการใช้ทรัพยากรเพื่อผลิต บริโภค และทิ้ง (Take–Make–Dispose) อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดของเสียจำนวนมากและการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน บริษัทจึงได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการดำเนินงาน โดยเน้นการออกแบบระบบผลิตและบริหารจัดการของเสียอย่างครบวงจร เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในรูปแบบการใช้ซ้ำ การหมุนเวียนกลับเข้าสู่กระบวนการผลิต (Make–Use–Return) และการลดการปล่อยมลพิษ สอดคล้องกับหลักการ 3Rs (Reduce–Reuse–Recycle) และแนวคิด Symbiosis ที่เน้นการแลกเปลี่ยนของเสียและผลพลอยได้ระหว่างภาคอุตสาหกรรม เพื่อลดการสูญเสียทรัพยากร ลดปริมาณของเสีย และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ทั้งนี้ บริษัทได้นำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ในการวางแผนและกระบวนการดำเนินงาน เช่น การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน การลดการใช้วัตถุดิบใหม่ การยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ การนำของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ รวมถึงการศึกษาแนวทางความร่วมมือเพื่อใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การพัฒนาเชื้อเพลิงทดแทนก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม และการลงทุนในระบบกักเก็บพลังงาน
การจัดการพลังงาน
บี.กริม เพาเวอร์ ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก เราให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษาและพัฒนาเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อลดการใช้เชื้อเพลิง ปรับปรุงการใช้พลังงานความร้อนให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า ในด้านการจัดการพลังงาน เรามุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าและเลือกใช้เทคโนโลยีทันสมัยจากผู้ผลิตชั้นนำระดับสากล และจัดทำรายงานการจัดการพลังงานประจำปีซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองโดยผู้ตรวจสอบพลังงาน ครอบคลุมกระบวนการจัดการ 8 ขั้นตอน ได้แก่
- การจัดตั้งคณะทำงานด้านการจัดการพลังงาน เพื่อการกำหนดแผนงานและดำเนินการบำรุงรักษาเชิงป้องกันอย่างรอบคอบ
- การประเมินสถานการณ์การจัดการพลังงานเบื้องต้น เพื่อประเมินและกำหนดระดับการบริหารจัดการพลังงานของแต่ละโรงไฟฟ้า โดยพิจารณาตั้งแต่การกำหนดนโยบายการอนุรักษ์พลังงาน ผู้รับผิดชอบ การกระตุ้น และสร้างแรงจูงใจ ระบบข้อมูลข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ รวมไปถึงการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงาน
- กำหนดนโยบายอนุรักษ์พลังงาน เพื่อแสดงเจตจำนงและความมุ่งมั่นในการดำเนินการด้านการอนุรักษ์พลังงาน
- การประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงาน โดยแจกแจงและวิเคราะห์ปริมาณการใช้พลังงานในแต่ละประเภทอย่างละเอียด ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับองค์กร ระดับผลิตภัณฑ์ และระดับเครื่องจักร/อุปกรณ์
- การกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยเป็นการกำหนดเป้าหมายและแผนฯ ระดับโรงไฟฟ้าจนไปถึงภาพรวมองค์กร รวมไปถึงกำหนดแผนการฝึกอบรมและกิจกรรมส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่สอดคล้องกับเป้าหมาย
- การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน รวมถึงการตรวจสอบและวิเคราะห์การปฏิบัติตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน
- การตรวจติดตามและการประเมินการจัดการพลังงาน
- การทบทวน วิเคราะห์ และแก้ไขข้อบกพร่องของการจัดการพลังงาน
นอกจากนี้เรายังส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงาน ผ่านการอบรมและกิจกรรมรณรงค์อย่างต่อเนื่อง เช่น หลักสูตรอบรมผู้รับผิดชอบด้านพลังงานอาวุโส โครงการส่งเสริมการประหยัดพลังงานในสำนักงาน และกิจกรรมปลูกจิตสำนึกด้านพลังงานประจำปี เพื่อสนับสนุนให้เกิดการปรับปรุงและคิดค้นนวัตกรรมที่ช่วยลดการใช้พลังงานและนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ เพื่อช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
การจัดการพลังงาน
ผลการดำเนินงานปี 2567
การใช้พลังงานไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้น 1,175,295 เมกะวัตต์-ชั่วโมง หรือร้อยละ 7.52 จากปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการรายงานข้อมูลของโรงไฟฟ้า BGPAT 2-3 ครบทั้ง 12 เดือนเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนการใช้พลังงานไม่หมุนเวียนต่อหน่วยผลิตไฟฟ้า พบว่ายังทรงตัวจากปีที่ผ่านมาที่ 1.23 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเป้าหมายที่จะลดสัดส่วนการใช้พลังงานไม่หมุนเวียนต่อหน่วยผลิตไฟฟ้าจากปีที่ผ่านมาลงร้อยละ 1 หรือไม่เกิน 1.22 ทั้งนี้เรามีการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานซึ่งสามารถช่วยลดการใช้พลังงานลงได้กว่า 6,867 เมกะวัตต์-ชั่วโมง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 31.7 ล้านบาท
| หน่วย | 2564 | 2565 | 2566 | 2567 | |
|---|---|---|---|---|---|
| ปริมาณการใช้พลังงานไม่หมุนเวียนทั้งหมด | เมกะวัตต์-ชั่วโมง | 17,434,786 | 15,936,053 | 15,626,496 | 16,801,791 |
| ปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมด | เมกะวัตต์-ชั่วโมง | 103 | 70 | 160 | 156 |
โครงการที่โดดเด่นด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
การลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงในการผลิตของเครื่องจักร
มุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง มีโครงการที่โดดเด่น ดังนี้
- ระบบหอหล่อเย็น ปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบระบายความร้อน โดยลดการทำงานของพัดลมหอหล่อเย็นในช่วงโหลดต่ำและปรับรูปแบบการเดินเครื่องให้เหมาะสมกับปริมาณความร้อนที่ต้องระบาย การปรับเปลี่ยนการทำงานของปั๊มน้ำเติมสำหรับหอหล่อเย็น และการติดตั้งระบบควบคุมความเร็วรอบ (VSD) ในมอเตอร์พัดลมหอหล่อเย็นเพื่อลดการใช้พลังงาน
- ระบบกังหันก๊าซ ปรับเปลี่ยนการเดินพัดลมระบายความร้อนให้หยุดเดินเมื่อเครื่องกังหันก๊าซอยู่ระหว่างหยุดดำเนินการ (Shutdown) โดยไม่เกิดความเสียหายต่อเครื่องจักร ในโรงไฟฟ้า ABP1-2
- ระบบกังหันไอน้ำและท่อไอน้ำ ลดเวลาการทำงานของระบบเครื่องสูบน้ำเมื่อมีการหยุดดำเนินการและการเปลี่ยนกับดักไอน้ำ (Steam Trap) เพื่อลดไอน้ำสูญเสีย
- ระบบอัดอากาศ ติดตั้งเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดเล็กลง และมีอุปกรณ์ควบคุมความเร็วมอเตอร์ (Variable Speed Drive: VSD) ในตัว เพิ่มความยืดหยุ่นในการเดินเครื่องให้สอดคล้องกับกิจกรรมการผลิตไฟฟ้า เพิ่มเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงาน ในโรงไฟฟ้า ABPR3-4
การลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตโดยตรง
สำรวจการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในองค์กรอย่างต่อเนื่องผ่านคณะกรรมการด้านการจัดการพลังงานในแต่ละโรงไฟฟ้าเพื่อให้สามารถระบุโอกาสในการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน ในปี 2567 มีโครงการลดการใช้ไฟฟ้าในส่วนของการจัดการสาธารณูปโภค เช่น การปรับคุณภาพน้ำดิบ และกิจกรรมในสำนักงาน ได้แก่
- ระบบปรับคุณภาพน้ำดิบและน้ำทิ้ง ปรับปรุงแนวท่อน้ำดิบเพื่อลดระยะทางส่งน้ำและลดการใช้เครื่องสูบน้ำในระบบ รวมถึงการใช้เครื่องสูบน้ำที่มีอุปกรณ์ควบคุมความเร็วมอเตอร์ (Variable Speed Drive: VSD) นอกจากนี้มีการนำแผงโซลาร์เซลล์ที่หมดอายุจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของเรา มาใช้จ่ายไฟฟ้าให้ระบบสูบน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมของโครงการ
- ระบบแสงสว่างและอาคารสำนักงาน สำรวจและเปลี่ยนหลอดไฟฟ้าแบบ LED เพิ่มเติมในพื้นที่โครงการ และติดตั้งระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวเพื่อควบคุมการเปิด-ปิดแสงสว่างตามการใช้งานพื้นที่
การจัดการน้ำ
บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งมั่นอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประสิทธิภาพอย่างคุ้มค่าตลอดห่วงโซ่การผลิต รวมถึงวางแผนบริหารจัดการน้ำทิ้งอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมร่วมมือกับชุมชนและองค์กรภายนอกในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนั้นเรายังตระหนักถึงความเสี่ยงด้านภัยแล้งเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราจึงจัดประเมินความเสี่ยงด้านน้ำในระดับลุ่มน้ำเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานของเราจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อกิจกรรมการเข้าถึงน้ำของชุมชน รวมถึงส่งเสริมประสิทธิภาพของการใช้น้ำในกระบวนการผลิต ตามหลัก 3Rs (Reduce-Reuse-Recycle) เช่น การเพิ่มรอบการใช้น้ำหมุนเวียนในระบบจากหอหล่อเย็น การเพิ่มการใช้น้ำที่มาจากการบำบัดน้ำเสียทดแทนการใช้น้ำดิบบางส่วน เพื่อลดการใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะ รวมถึงตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้งอย่างสม่ำเสมอให้เป็นไปตามค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและชุมชนรอบโรงไฟฟ้า
การประเมินความเสี่ยงด้านทรัพยากรน้ำ
บี.กริม เพาเวอร์ มีการประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำในระยะสั้นและระยะยาวเป็นประจำทุกปี ประกอบด้วยการประเมินความเสี่ยงทั้งในเชิงปริมาณน้ำและเชิงคุณภาพน้ำของพื้นที่การผลิตขององค์กร (ความเครียดจากน้ำ1) โดยใช้เครื่องมือแผนที่ความเสี่ยงด้านน้ำ AQUEDUCT Water Risk Atlas ของ World Resources Institute โดยในปี 2567 พบว่าบี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงถึงสูงมากต่อการขาดแคลนน้ำร้อยละ 78.7 หรือ 37 จาก 47 แห่ง2 ซึ่งมีปริมาณการใช้น้ำจากพื้นที่ดังกล่าว 16.41 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 77.37 จากการใช้น้ำสะอาดสุทธิ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและสำนักงานดังกล่าวมีต้นทุนการขายและบริการคิดเป็นร้อยละ 88.2 ของต้นทุนการขายและบริการรวม
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมทุกแห่งของบริษัทตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ บริษัทจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยใช้แนวทางลดการพึ่งพาแหล่งน้ำธรรมชาติผ่านการนำน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดจากนิคมอุตสาหกรรมที่โรงไฟฟ้าตั้งอยู่กลับมาใช้เป็นแหล่งน้ำหลักในการดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังพิจารณาการใช้น้ำหมุนเวียนภายในโรงไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเพิ่มรอบการหมุนเวียนน้ำในหอหล่อเย็น เพื่อเพิ่มการใช้ประโยชน์จากน้ำให้คุ้มค่าสูงสุดนอกจากนี้ เรายังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียอย่างต่อเนื่อง โดยจัดการประชุมหารือร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมและชุมชนโดยรอบเพื่อรับฟังความคิดเห็น ความกังวล และร่วมกันหาแนวทางป้องกันและบรรเทาความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำ รวมถึงวางแผนบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งานในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทได้จัดทำแผนจำลองสถานการณ์น้ำเพื่อประเมินแนวโน้มปริมาณน้ำในแหล่งน้ำภายนอกและเตรียมแผนสำรองการใช้น้ำในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทบทวนแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan) เป็นประจำทุกปี เพื่อให้มั่นใจว่าโรงไฟฟ้าจะสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำของชุมชน
สำหรับโรงไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ร้อยละ 84.2 ตกอยู่ในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ แต่มีการใช้น้ำในระดับต่ำมากเพียง 0.03 ลูกบาศก์เมตรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังน้ำไม่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยง อย่างไรก็ตามเราตระหนักถึงความจำเป็นของการจัดการทรัพยากรน้ำและติดตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกประเภทของโรงไฟฟ้า เนื่องจากน้ำไม่เพียงเป็นทรัพยากรหลักในการดำเนินงาน แต่ยังเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องได้รับการอนุรักษ์เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว
ผลการประเมินความเสี่ยงด้านน้ำโดย AQUEDUCT Water Risk Atlas
| ประเภทโรงไฟฟ้า | โครงการ | โครงการที่ได้รับการประเมินความเสี่ยง | โครงการที่ตั้งใน พื้นที่เสี่ยงสูง - สูงมาก | มาตรการที่สำคัญ |
|---|---|---|---|---|
| สำนักงาน | 1 | 1 | 1 |
|
| โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม | 20 | 20 | 20 |
|
| โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ | 19 | 19 | 16 |
|
| โรงไฟฟ้าพลังน้ำ | 4 | 3 | 0 |
|
| โรงไฟฟ้าพลังงานลม | 2 | 2 | 0 |
|
| Backup for power trading | 1 | 1 | 0 |
|
| รวม | 47 | 46 | 37 |
1 ความเครียดจากน้ำ (Water Stress): “เมื่อมีการดึงน้ำจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติมาใช้มากกว่าร้อยละ 20 ของทรัพยากรหมุนเวียนทั้งหมด ความเครียดจากน้ำมักจะเป็นปัจจัยจำกัดในการพัฒนา การดึงน้ำจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติมาใช้ร้อยละ 40 ขึ้นไปแสดงถึงความเครียดสูง ในทำนองเดียวกัน ความเครียดจากน้ำอาจเป็นปัญหาได้หากประเทศหรือภูมิภาคใดมีน้ำน้อยกว่า 1,700 ลบ.ม. ต่อปีต่อประชากร (Falkenmark and Lindh, 2519).” ที่มา : รายงาน IPCC Report ประจำปี 2544
2 โครงการที่ได้รับการประเมินความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำคิดเป็นร้อยละ 99.6 ของรายได้รวม ครอบคลุมบริษัทและบริษัทย่อย ยกเว้นโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Malacha ซึ่งเป็นการเข้าลงทุนใหม่ระหว่างปี ทั้งนี้ ขอบเขตการประเมินไม่รวมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาเนื่องจากมีการใช้น้ำระดับต่ำมากและไม่มีนัยสำคัญต่อความเสี่ยง และไม่รวมธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติซึ่งเพิ่งเริ่มดำเนินการในไตรมาส 3/2567
การจัดการคุณภาพน้ำ
บี.กริม เพาเวอร์ มีระบบการจัดการคุณภาพน้ำในบริเวณโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำทิ้งมีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ก่อนส่งเข้าสู่ระบบบำบัดส่วนกลางของนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง โดยจัดให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดเป็นรายเดือนโดยนักเคมีผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการคุณภาพน้ำประจำโรงไฟฟ้า และตรวจสอบโดยหน่วยงานภายนอก อ้างอิงตามมาตรฐานและข้อกำหนด เช่น พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และข้อกำหนดการระบายน้ำทิ้งเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียส่วนกลางในนิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และสอดคล้องกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่ระบุไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA)
เราให้ความสำคัญในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน แม้ว่าปริมาณน้ำใช้และน้ำทิ้งมีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำที่ไม่สร้างผลกระทบต่อการใช้น้ำในพื้นที่รอบโครงการ ยกเว้นการผันน้ำออกจากพื้นที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากเหตุการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งมีการควบคุมและตรวจวัดคุณภาพน้ำให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่อย่างเคร่งครัด
การจัดการน้ำ
ผลการดำเนินงานปี 2567
การใช้น้ำสะอาดสุทธิเพิ่มขึ้น 1.53 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 7.8 จากปีก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักมาจากการรายงานข้อมูลของโรงไฟฟ้า BGPAT2-3 เต็ม 12 เดือนเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนการใช้น้ำสะอาดสุทธิต่อหน่วยผลิตไฟฟ้า พบว่ามีค่า 1.43 ลูกบาศก์เมตร/เมกะวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายที่จะลดสัดส่วนการใช้น้ำสะอาดสุทธิต่อหน่วยผลิตไฟฟ้าลงร้อยละ 1 จากปีที่ผ่านมา หรือไม่เกิน 1.41 ลูกบาศก์เมตร/เมกะวัตต์-ชั่วโมง อย่างไรก็ตามเรามีการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำ โดยสามารถลดการใช้น้ำได้กว่า 427,100 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นมูลค่ากว่า 5.2 ล้านบาท ในด้านการจัดการน้ำทิ้ง บริษัทดำเนินการบำบัดน้ำให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ก่อนส่งต่อสู่ระบบบำบัดน้ำส่วนกลางของนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง จากผลการติดตามคุณภาพน้ำในปี 2567 ไม่พบกรณีที่คุณภาพน้ำเกินค่ามาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด

| หน่วย | 2564 | 2565 | 2566 | 2567 | |
|---|---|---|---|---|---|
| ปริมาณน้ำที่ถูกดึงขึ้นมาใช้ | ล้านลูกบาศก์เมตร | 629.46 | 673.36 | 598.68 | 603.46 |
| ปริมาณน้ำทิ้ง (TDS ≤ 1,000 มก./ลิตร) |
ล้านลูกบาศก์เมตร | 608.91 | 654.84 | 579.00 | 582.25 |
| ปริมาณการใช้น้ำสะอาดสุทธิ 1 | ล้านลูกบาศก์เมตร | 20.54 | 18.52 | 19.68 | 21.21 |
| อัตราการใช้น้ำสะอาดสุทธิต่อการผลิต | ลูกบาศก์เมตร/เมกะวัตต์-ชั่วโมง | 1.42 | 1.36 | 1.42 | 1.43 |
1ปริมาณการใช้น้ำสะอาดสุทธิคำนวณจากปริมาณน้ำที่ถูกดึงขึ้นมาใช้ หักลบด้วยปริมาณน้ำทิ้งที่มีค่าของแข็งละลายน้ำรวม (TDS) ≤ 1,000 มก./ลิตร
โครงการที่โดดเด่นด้านประสิทธิภาพการใช้น้ำ
การนำน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิตและน้ำฝนกลับมาใช้ใหม่
ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการสูญเสียน้ำโดยการนำน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุดโดยที่ไม่มีผลกระทบกับกระบวนการผลิต อาทิ
- น้ำทิ้งจากการดักตะกอนและบีบอัดตะกอนในระบบปรับคุณภาพน้ำดิบ
- น้ำทิ้งจากระบบเก็บตัวอย่างน้ำและเครื่องมือวัดในกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ กระบวนการกู้คืนไอน้ำในระบบ (Cooling ST Flash Pipe), กระบวนการผลิตไอน้ำจากความร้อนที่นำกลับมาใช้ใหม่ (Heat Recovery Steam Generator: HRSG), และน้ำทิ้งจากอุปกรณ์วัดคุม เช่น ระบบเซ็นเซอร์วัดความเป็นกรด-ด่าง เป็นต้น
- น้ำทิ้งจากระบบรีเวิร์สออสโมซิสและกระบวนการทำความสะอาดและฟื้นฟูระบบกรองน้ำ (Backwashing, Mixed Bed Regeneration, และ Rinsing)
- น้ำทิ้งจากการระบายความร้อนเครื่องสูบน้ำดับเพลิง
- การกักเก็บน้ำฝนเพื่อนำมาใช้ในกระบวนการผลิต เช่น นำมาปรับคุณภาพใช้ร่วมกับน้ำดิบในโรงไฟฟ้า ABP3 และ นำมาใช้ในระบบหล่อเย็นในโรงไฟฟ้า BGPM เป็นต้น
การปรับปรุงกระบวนการ และ/หรืออุปกรณ์ให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้น้ำสูงสุด
ในปี 2567 เรามีการปรับปรุงกระบวนการ และ/หรืออุปกรณ์ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำ โดยมีโครงการที่โดดเด่น อาทิ
- การปรับเพิ่มรอบการหมุนเวียนน้ำในระบบหล่อเย็น โดยไม่มีผลกระทบต่อการผลิต
- การเพิ่มเวลาเดินระบบกรองน้ำก่อนทำการล้างย้อน (Backwashing) ทำให้ลดปริมาณน้ำจากการล้างย้อน โดยไม่ส่งผลต่อคุณภาพของน้ำที่ผ่านการกรอง
การร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งน้ำของชุมชน
บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งมั่นในการส่งเสริมผลกระทบเชิงบวกสุทธิต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เรามีการส่งเสริมให้โรงไฟฟ้าของเราสร้างความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและฟื้นฟูป่าไม้ ตลอดจนให้การสนับสนุนกิจกรรมการอนุรักษ์ลุ่มน้ำตามธรรมชาติให้คงอยู่ ร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน อาทิ
- กลุ่มโรงไฟฟ้า ABP มีส่วนร่วมกับภาครัฐ ประชาชน และเอกชนในการจัดทำแผนแม่บทระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571) ในการบริหารจัดการและพัฒนาคลองตำหรุอย่างยั่งยืน
- ส่งเสริมการอนุรักษ์ลุ่มน้ำผ่านการฟื้นฟูป่าชายเลน ผ่านการสนับสนุนงบประมาณ และร่วมกิจกรรมการปลูกป่าชายเลนและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ บริเวณพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า โดยปี 2567 มีกิจกรรมที่โดดเด่น ดังนี้
- กลุ่มโรงไฟฟ้า ABPR เข้าร่วมโครงการความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง โดยสนับสนุนงบประมาณและร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำกว่า 600,000 ตัว
- กลุ่มโรงไฟฟ้า ABP ร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นและชุมชนจัดกิจกรรม “จิตอาสา อนุรักษ์ป่าชายเลน” ณ ศูนย์การเรียนรู้เชิงอนุรักษ์ป่าชายเลน ตำบลคลองตำหรุ จังหวัดชลบุรี โดยได้ปลูกต้นกล้าโกงกางจำนวน 200 ต้น และร่วมเก็บขยะตามชายฝั่งป่าชายเลน
- โรงไฟฟ้า BPLC1 ร่วมปลูกป่าชายเลน 600 ต้น ในกิจกรรม Let’s Zero Together ปลูกเพื่อ (ลด) สู่อนาคตที่ยั่งยืน จัดโดยสำนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ณ ศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลนชุมชนบ้านแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
การจัดการขยะและกากของเสีย
บี.กริม เพาเวอร์ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ คือ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งคำนึงถึงคุณค่าของทรัพยากรตลอดช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการนำกลับมาใช้ซ้ำ หรือใช้ใหม่ให้มีประสิทธิภาพ มีการบริหารจัดการของเสียอย่างเป็นระบบครบวงจร จึงมุ่งเน้นการพัฒนาการจัดการขยะและการลดปริมาณของเสียโดยการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน ทั้งยังสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของโลกในขณะนี้
เรามุ่งมั่นต่อการบริหารจัดการของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต โดยมีเป้าหมายในการลดปริมาณของเสียและการจัดการของเสียจากกระบวนการผลิตให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อให้มีของเสียคงเหลือน้อยที่สุด และมุ่งสู่การไม่ส่งของเสียไปฝังกลบ (Zero Waste to Landfill) โดยใช้แนวทางการบริหารจัดการด้วยหลักปฏิบัติ 3Rs (Reduce - Reuse - Recycle) หรือลดการเกิดของเสีย นำกลับมาใช้ใหม่ และนำไปผ่านกระบวนการหรือแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ตลอดจนรณรงค์การคัดแยกประเภทของเสีย เช่น ขยะทั่วไป ขยะมูลฝอยที่ย่อยสลายได้ ขยะรีไซเคิลและของเสียอันตราย เพื่อการบริหารจัดการของเสียที่ถูกต้องเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ลดค่าใช้จ่าย ตลอดจนลดกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลไปยังชุมชนรอบโรงไฟฟ้า
การจัดการขยะและกากของเสีย
การจัดการขยะและกากของเสีย
ผลการดำเนินงานปี 2567
ของเสียจากการดำเนินธุรกิจมีปริมาณเพิ่มขึ้น 67 ตันเทียบกับปี 2566 เนื่องจากกิจกรรมซ่อมบำรุงใหญ่ของโรงไฟฟ้า ABPR 2-3 ขณะที่สัดส่วนของขยะที่มีการใช้ซ้ำ/รีไซเคิล/ขายอยู่ที่ร้อยละ 84.8 และปริมาณขยะที่ส่งกำจัดลดลงจากปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 34 เป็นไปตามเป้าหมายการลดขยะที่ส่งกำจัดลงร้อยละ 8.5 หรือไม่เกิน 550 ตัน จากปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังสามารถลดปริมาณขยะอันตรายที่ส่งกำจัดลงได้ถึงร้อยละ 72 เป็นไปตามเป้าหมายในการลดขยะอันตรายที่ส่งกำจัดลงร้อยละ 32 หรือไม่เกิน 300 ตัน จากปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากการดำเนินการปรับเปลี่ยนกระบวนการและสารเคมีเพื่อลดการเกิดขยะอันตราย การนำขยะและกากของเสียไปใช้ซ้ำหรือรีไซเคิล และลดการฝังกลบเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการไม่ส่งของเสียไปฝังกลบ (Zero Waste to Landfill)
| หน่วย | 2564 | 2565 | 2566 | 2567 | |
|---|---|---|---|---|---|
| ขยะทั้งหมด | ตัน | 1,899 | 2,426 | 2,808 | 2,875 |
| ขยะอันตราย | ตัน | 123 | 211 | 673 | 512 |
| ขยะไม่อันตราย | ตัน | 1,776 | 2,215 | 2,135 | 2,363 |
| ขยะที่มีการใช้ซ้ำ / รีไซเคิล / ขาย | ตัน | 1,573 | 2,058 | 2,182 | 2,438 |
| ร้อยละต่อขยะทั้งหมด | 82.9 | 84.8 | 77.8 | 84.8 | |
| ขยะที่ส่งกำจัด | ตัน | 312 | 318 | 6011 | 394 |
| ขยะที่จัดเก็บในโครงการเพื่อรอกำจัด | ตัน | 14 | 50 | 24 | 43 |
1 หากไม่รวมขยะจากการรื้อถอนโรงไฟฟ้าซึ่งเป็นกิจกรรมพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ปริมาณขยะที่ส่งกำจัดจะอยู่ที่ 389 ตัน
โครงการที่โดดเด่นด้านการบริหารจัดการของเสียตามแนวทาง 3Rs
การลดการเกิดของเสีย (Reduce)
โครงการลดการเกิดของเสียจากกระบวนการและการใช้สารเคมี
- ลดการใช้คลอรีนกว่า 90 ตันต่อโรงไฟฟ้าต่อปี ด้วยการใช้สารเคมีไบโอไซด์เกรดอุตสาหกรรมอาหารร่วมกับคลอรีนในการปรับสภาพน้ำก่อนเข้ากระบวนการผลิต ส่งผลให้คุณภาพน้ำดีขึ้นและลดปริมาณน้ำเสียที่ต้องบำบัดก่อนส่งออกนอกพื้นที่โรงไฟฟ้า
- ลดกากตะกอนจากกระบวนการบำบัดน้ำกว่า 100 ตันต่อโรงไฟฟ้าต่อปี จากการลดปริมาณการใช้สารเฟอร์ริกคลอไรด์ในระบบบำบัดน้ำ
- ลดการใช้สารเคมีปรับคุณภาพน้ำดิบเฉลี่ยกว่า 100 ตันต่อปี ด้วยการปรับปริมาณสารให้เหมาะสมกับคุณภาพน้ำดิบก่อนนำเข้ากระบวนการ คิดเป็นมูลค่าการประหยัดกว่า 400,000–500,000 บาทต่อปี
โครงการยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์และอะไหล่เพื่อลดของเสีย
- ยืดอายุการใช้งานไส้กรองอากาศพรีฟิลเตอร์และไฟนอลฟิลเตอร์ จากเดิมต้องเปลี่ยนทุก 12 และ 24 เดือน เป็น 14 และ 36 เดือนตามลำดับ โดยอ้างอิงข้อมูลจากการใช้งานจริง พร้อมติดตั้งเครื่องวัดค่าความต่างของแรงดัน (Differential Pressure) เพื่อระบุเวลาที่เหมาะสมในการเปลี่ยนชิ้นส่วน
- ยืดรอบการเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันหล่อลื่น จากทุก 6 เดือน เป็นทุก 1 ปี เพื่อลดปริมาณของเสียและต้นทุนการจัดซื้ออะไหล่
- การส่งเสริมการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ที่เสียหายแทนการสั่งซื้อใหม่ เช่น ที่โรงไฟฟ้า ABP3 และ ABP4-5 รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีการซ่อมไดโอดในแผงโซลาร์ และนำสายไฟจากแผงที่ชำรุดกลับมาใช้งานใหม่ โดยรวมลดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 20.6 ล้านบาท
การนำของเสียกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) และ/หรือรีไซเคิล (Recycle)
- สารปรับปรุงคุณภาพดิน ที่ได้จากการแปรรูปกากตะกอนของระบบบำบัดน้ำ เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2559 ที่โรงไฟฟ้า ABP3 และขยายสู่โรงไฟฟ้าอื่น ๆ สามารถลดปริมาณการส่งกากตะกอนไปกำจัดได้มากกว่า 300 ตันต่อโรงไฟฟ้าต่อปี โดยสารปรับปรุงดินนี้ผ่านการตรวจวิเคราะห์และยืนยันความปลอดภัยของพืชผลที่ปลูก ก่อนนำไปมอบให้แก่โรงเรียนหรือชุมชนใกล้เคียง
- กระถางต้นไม้รีไซเคิลจากไส้กรองอากาศ ในระบบกังหันก๊าซ ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวในโรงไฟฟ้า และสร้างประโยชน์ใหม่จากวัสดุใช้แล้ว โดยตั้งแต่เริ่มโครงการในปี 2563 บริษัทสามารถนำตัวกรองกลับมาใช้ได้รวมทั้งสิ้น 770 ชิ้น พร้อมส่งมอบกระถางต้นไม้ดังกล่าวให้แก่โรงเรียนในชุมชนโดยรอบ
- การนำแผงโซลาร์เซลล์เสื่อมสภาพกลับมาใช้งาน ในปี 2567 ได้จัดทำโครงการนำร่อง “Second Life Solar PV” โดยนำแผงโซลาร์เซลล์ที่เสื่อมสภาพ มาปรับใช้ในการผลิตไฟฟ้าสำหรับไฟฟ้าส่องสว่างรั้วและพื้นที่สำนักงานของโรงไฟฟ้า โดยเริ่มที่โรงไฟฟ้า ABP4-5 ผลิตไฟฟ้าได้ 1,953 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ลดค่าใช้จ่ายได้ 6,838 บาทต่อปี
การจัดการของเสียที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ
การลดของเสียที่นำไปฝังกลบได้กว่า 46 ตัน เป็นผลจากการดำเนินโครงการ Zero Waste to Landfill ซึ่งเริ่มต้นในปี 2567 โดยกลุ่มโรงไฟฟ้า ABP และ ABPR โครงการนี้มุ่งส่งเสริมการจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ด้วยการเปลี่ยนแนวทางการกำจัดไปสู่การนำของเสียบางประเภทไปใช้ประโยชน์อื่น เช่น การขายเพื่อนำไปรีไซเคิล หรือการนำไปแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงผสม (Refuse-Derived Fuel: RDF) โดยกลุ่มโรงไฟฟ้า ABP สามารถบรรลุเป้าหมาย Zero Waste to Landfill ได้สำเร็จภายในปีที่ผ่านมา
การจัดการคุณภาพอากาศ
บี.กริม เพาเวอร์ ให้ความสำคัญต่อการควบคุมมลภาวะทางอากาศในการลดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยวางแนวทางและมาตรการบริหารจัดการคุณภาพอากาศ ตลอดจนการตรวจประเมิน ควบคุมคุณภาพอากาศอย่างเคร่งครัด โดยตรวจวัดมลสารที่เกิดขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมทุกแห่งอย่างต่อเนื่องทั้งภายในพื้นที่โรงไฟฟ้าและบริเวณชุมชนโดยรอบที่อาจได้รับผลกระทบ ตลอดจนวางแผนปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน การซ่อมบำรุงเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และลดผลกระทบจากการปล่อยมลพิษทางอากาศต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
สำหรับการดำเนินการของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม บี.กริม เพาเวอร์ ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงนั้น มีการติดตั้งระบบหัวฉีดเผาไหม้แบบ Dry Low NOx (DLN) ซึ่งมีการทำงานแบบอัตโนมัติ สำหรับควบคุมการเกิดก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ซึ่งเป็นมลพิษหลักของโครงการ และติดตั้งเครื่องตรวจวัดมลพิษทางอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง (CEMS-Continuous Emission Monitoring System) โดยมีการสอบทาน (Audit) ความแม่นยำของ CEMS เป็นประจำ ทุก 1-3 ปี รวมทั้งการตรวจวัดแบบสุ่มบริเวณปล่อง (Stack Sampling) หน่วยผลิตไอน้ำ (HRSG - Heat Recovery Steam Generators) เพื่อตรวจวัดปริมาณก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ก๊าซออกไซด์ของซัลเฟอร์ (SOx) ฝุ่น (Dust) ก๊าซออกซิเจน (O2) อุณหภูมิปลายปล่อง และอัตราการไหลของก๊าซ (Flue Gas Flow Rate) อ้างอิงวิธีการตรวจสอบและสอบทานตามข้อกำหนดของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (U.S. EPA) โดยเก็บตัวอย่างอากาศจากปล่องระบายมลพิษทางอากาศและทำการวิเคราะห์ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด และตรวจวัดคุณภาพอากาศบริเวณชุมชนโดยรอบโรงไฟฟ้าเป็นประจำทุก 6 เดือน

ผลการดำเนินงานปี 2567
การจัดการคุณภาพอากาศในภาพรวมมีการปล่อยก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนและฝุ่นเพิ่มขึ้นจากการรายงานข้อมูลของโรงไฟฟ้า BGPAT2-3 เต็ม 12 เดือนเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตามเรามีการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ ได้แก่ การปรับปรุงค่าควบคุมในการเดินเครื่องกังหันก๊าซ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้เชื้อเพลิงและสามารถลดความเข้มข้นของก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนลงได้ ทั้งนี้ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศทุกพารามิเตอร์เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนด และไม่มีข้อร้องเรียนด้านคุณภาพมลภาวะทางอากาศในปี 2567
| หน่วย | 2564 | 2565 | 2566 | 2567 | |
|---|---|---|---|---|---|
| การปล่อยก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ( NOx) | ตัน | 3,529 | 3,045 | 2,650 | 2,790 |
| การปล่อยก๊าซออกไซด์ของซัลเฟอร์ (SOx) | ตัน | 101 | 94 | 59 | 49 |
| การปล่อยฝุ่น (TSP) | ตัน | 164 | 124 | 71 | 80 |
การสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร
บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างจิตสำนึกและฝึกอบรมให้แก่พนักงานและผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอทั้งภายในและนอกองค์กร เพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้ความสามารถ และสร้างความตระหนักถึงผลกระทบและความเสี่ยงในด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงาน
ผลการดำเนินงานปี 2567
จัดกิจกรรมให้ความรู้และฝึกอบรมพนักงานในด้านสิ่งแวดล้อมรวม 2,036 ชั่วโมง มุ่งเน้นหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานด้านสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้า ได้แก่ หลักสูตรการบริหารและการตรวจติดตามภายในแบบองค์รวมสำหรับ ISO 14001:2015 หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานประจำระบบบำบัดมลพิษอากาศและของเสียอุตสาหกรรม และการขอการรับรองโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยผ่านโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่
การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การฝึกอบรม รวมถึงการสื่อสารองค์ความรู้
จากผู้เชี่ยวชาญจากภายในหรือภายนอกองค์กร ตามแผนการดำเนินงานของคณะทำงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม โดยในปี 2567 ได้จัดกิจกรรมให้ความรู้ในหัวข้อที่สำคัญ ได้แก่ การใช้แบบฟอร์มจัดเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับโรงไฟฟ้า การจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint for Product: CFP) และแนวทางการลดขยะด้วยการรีไซเคิล
การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้และความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมให้กับพนักงาน
ทั้งในด้านการลดการใช้พลังงาน น้ำ ของเสีย และมลพิษ เพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและหน้างาน อาทิ กิจกรรมประกวดแนวทางการลดขยะและการใช้น้ำดิบในโรงไฟฟ้า กิจกรรมร่วมใจลด/หยุดการใช้พลังงาน 1 ชั่วโมง ในช่วงพักกลางวัน รวมถึงการจัดทำสื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เพื่อสื่อสารให้พนักงานตระหนักถึงความสำคัญ และผลกระทบถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยเป็นประจำ นอกจากนี้ในทุก ๆ ปี ที่โรงไฟฟ้า ABP1-5 และ ABPR1-5 ได้จัดกิจกรรม "เดือนแห่งการปลูกฝังพฤติกรรมและสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์พลังงาน" (SHERO project) มุ่งเน้นกิจกรรมและการสร้างความตระหนักจากการปฏิบัติงานที่หน้างานจริง อาทิ การแข่งขันชิงรางวัลสำหรับพนักงานที่แสดงถึงการมีพฤติกรรมที่ดีในด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย
การส่งต่อความรู้และความตระหนักด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมสู่ชุมชนและสังคม
โดยส่งเสริมให้พนักงานของเราเป็นส่วนหนึ่ง (ผู้บรรยาย ผู้สอน หรือผู้ช่วย) ในการแบ่งปันความรู้และความเข้าใจในด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยให้กับชุมชนรอบโรงไฟฟ้า โดยในปี 2567 มีการจัดกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชนในหัวข้อ “ทำความรู้จักกับ Solar Rooftop และข้อควรพิจารณาก่อนติดตั้ง” การจัดกิจกรรมเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าและสื่อสารการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับนักเรียนในเขตพื้นที่โรงไฟฟ้าเป็นประจำทุกปี โดยเน้นการสอนในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การผลิตไฟฟ้า และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ อาทิ ก๊าซธรรมชาติ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังน้ำ และพลังงานลม