โอกาสและความท้าทาย

ในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่าโครงการพลังงานหมุนเวียนอาจตั้งอยู่ภายในระบบนิเวศที่ซับซ้อน ซึ่งทุกกิจกรรมอาจส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ การขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังน้ำไม่ใช่เพียงแค่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ต้องมั่นใจว่าการพัฒนาพลังงานสะอาดจะไม่ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศ การบูรณาการแนวทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับการวางแผนพลังงาน ผ่านการคัดเลือกพื้นที่ตั้งโครงการอย่างมีความรับผิดชอบ การสำรวจและประเมินผลกระทบ และการดำเนินมาตรการอนุรักษ์ ตลอดจนการวางแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับกฎหมายและแนวปฏิบัติสากล จะช่วยให้เราสร้างโซลูชันพลังงานหมุนเวียนที่ตอบโจทย์ทั้งเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ และความยืดหยุ่นของระบบนิเวศ นำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

เป้าหมายและผลการดำเนินงาน

  ปี 2567 ปี 2567-2573
ผลการดำเนินงาน เป้าหมาย เป้าหมาย
สัดส่วนโครงการที่ได้รับการประเมินผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพ1ทุก 5 ปี
(ต่อโครงการทั้งหมด)
100% 100% 100%
สัดส่วนโครงการที่มีการดำเนินการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ
(ต่อโครงการที่อาจมีผลกระทบ)
100% 100% 100%
โครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่คุ้มครองตามนิยามของ IUCN2 0 0 0
ความร่วมมือกับองค์กรภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
  • จัดแถลงข่าวเชิงเสวนา “ผู้พิทักษ์ป่า เสือโคร่ง : ร่วมคืนสมดุลสู่ผืนป่าไทย” สื่อสารความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า และบทบาทหน้าที่ของผู้พิทักษ์ป่า
  • โครงการปลูกป่าและฟื้นฟูพันธุ์ไม้ในพื้นที่โรงไฟฟ้าและรอบโครงการ
  • ลงนามบันทึกความเข้าใจ เรื่องความร่วมมือในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
  • คัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพเข้าร่วมเป็นพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตพื้นที่คุ้มครอง (OECMs) ของ สผ.
  • โครงการ Save the Tigers ร่วมกับรัฐและองค์กรนอกภาครัฐ
  • โครงการความร่วมมือกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
ขยายความร่วมมือกับองค์กรภายนอกอย่างต่อเนื่อง

1 โดยการทบทวนการใช้ประโยชน์พื้นที่และประเมินผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
2 ครอบคลุมพื้นที่ถิ่นที่อยู่อาศัยที่สำคัญของสัตว์ป่า พื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย พื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่มรดกโลก และพื้นที่ที่ได้รับการปกป้องภายใต้พื้นที่คุ้มครองตามนิยามขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) Category I-IV

การบริหารจัดการและกลยุทธ์

ความมุ่งมั่นของเรา

บี.กริม เพาเวอร์ ให้ความสำคัญต่อการดูแล ป้องกัน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานครอบคลุมทั้งด้านการจัดการและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์และพืช ตลอดจนการปกป้อง ดูแลรักษาแหล่งน้ำ พื้นที่ป่า และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ เรามุ่งมั่นพัฒนาและดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจให้สอดคล้องกับข้อกำหนดกฎหมาย มีการติดตามตรวจสอบและกระบวนการฟื้นฟูหรือชดเชย ตลอดจนการร่วมมือกับพันธมิตรภายนอกเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและไม่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อพื้นที่ป่า

โดยในปี 2565 เราได้ประกาศ พันธสัญญาด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งได้รับการรับรองโดยกรรมการบริษัท ครอบคลุมถึงบริษัทย่อยและบริษัทร่วมทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การควบคุม ตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียที่สําคัญ รวมถึงได้สื่อสารความคาดหวังไปยังคู่ค้าลำดับที่ 1 (Tier 1 Suppliers) คู่ค้าทางอ้อมรายสำคัญ (Critical Non-Tier 1 Suppliers) และพันธมิตรทางธุรกิจให้รับทราบและส่งเสริมให้นำไปประยุกต์ใช้กับองค์กรของตน เพื่อสร้างคุณค่าและผลประโยชน์ร่วมกัน มีเนื้อหาสรุปดังนี้

มุ่งมั่นในการสร้างผลกระทบเชิงบวกด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Net Positive Impact: NPI)

อย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ

มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยปราศจากผลกระทบต่อพื้นที่ป่าไม้สุทธิ (No Net Deforestation)

โดยดำเนินการฟื้นฟูหรือปลูกป่าเพื่อชดเชยการสูญเสียป่าไม้จากการดำเนินธุรกิจ

มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงกิจกรรมการดำเนินงานในพื้นที่ถิ่นที่อยู่อาศัยที่สำคัญของสัตว์ป่า
พื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

พื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่มรดกโลก และพื้นที่ที่ได้รับการปกป้องภายใต้พื้นที่คุ้มครองตามนิยามขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) Category I-IV

โครงสร้างการกำกับดูแล

บี.กริม เพาเวอร์ วางโครงสร้างการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรป่าไม้ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามความมุ่งมั่น สอดคล้องกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีการติดตามผลการดำเนินการด้านความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรป่าไม้อย่างครอบคลุม โดยมีผู้เกี่ยวข้องหลักในการกำกับดูแล ดังนี้

คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน

มีหน้าที่ให้ความเห็นเชิงกลยุทธ์ต่อประเด็นด้านความยั่งยืนขององค์กร รวมถึงการให้ข้อเสนอแนะต่อร่างพันธสัญญาด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทแล้ว คณะกรรมการยังมีบทบาทในการพิจารณาความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการกำหนดทิศทางและแนวทางดำเนินงานที่สอดคล้องกับหลักการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) และรายงานผลการติดตามต่อคณะกรรมการบริษัทอย่างต่อเนื่อง

คณะทำงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม

ประกอบด้วยตัวแทนผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับวิชาชีพจากทั้งสำนักงานกรุงเทพฯ และโรงไฟฟ้า โดยดำเนินการร่วมกับฝ่ายปฏิบัติการของโรงไฟฟ้าในการกำกับดูแล ติดตามการปฏิบัติตามมาตรการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงเฝ้าระวังความเสี่ยงและผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว รายงานผลการปฏิบัติงานต่อคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน

ฝ่ายอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม

มีหน้าที่กำหนดแนวทางการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบ รวมถึงแนวทางปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรป่าไม้จากการดำเนินโครงการทั้งในระหว่างการพัฒนาและเปิดดำเนินการแล้ว โดยใช้องค์ความรู้ของหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการอ้างอิงฐานข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพในระดับประเทศและสากล และสื่อสารให้ผู้รับผิดชอบโครงการและผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบและปฏิบัติตาม รวมถึงร่วมกับผู้รับผิดชอบโครงการในการประเมินผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา หากพบความเสี่ยงต่อความหลากหลายทางชีวภาพ จะมีการจัดทำแผนปฏิบัติงานที่เหมาะสม พร้อมทั้งติดตามผลการดำเนินงานตามแผนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ฝ่ายอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ขึ้นตรงต่อผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสสายงานความยั่งยืนขององค์กร ซึ่งรายงานตรงต่อประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชั่นธุรกิจอุตสาหกรรม และรายงานต่อคณะกรรมการจัดการ

ฝ่ายธุรกิจเพื่อสังคมของโรงไฟฟ้าและสายงานสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม

ร่วมกับฝ่ายอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม พัฒนาโครงการความร่วมมือด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่มีความสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้เสียรอบพื้นที่โรงไฟฟ้าและในระดับประเทศ รวมถึงสื่อสารนโยบาย แนวทางการปฏิบัติงาน ข้อมูลโครงการด้านความหลากหลายทางชีวภาพให้กับผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอกองค์กร ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือและสร้างความตระหนักให้แก่พนักงาน ผู้รับเหมา คู่ค้า และหน่วยงานกำกับดูแล

กลยุทธ์

มุ่งมั่นในการสร้างผลกระทบเชิงบวกด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
และดำเนินธุรกิจโดยปราศจากผลกระทบต่อพื้นที่ป่าไม้สุทธิ

ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับ และมาตรฐานบังคับที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ ป่าไม้ และสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
ประเมินความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจจากประเด็นที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ โดยคำนึงถึงการพึ่งพิงและผลกระทบต่อธรรมชาติจากธุรกิจของเรา
กำหนดแนวปฏิบัติที่เคร่งครัด ครอบคลุมกิจกรรมการดำเนินงานของบริษัทที่อาจสร้างความเสียหายต่อความหลากหลายทางชีวภาพทั้งทางบกและทางน้ำ โดยคำนึงถึงหลักการการบรรเทาผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพตามลำดับชั้น (Mitigation Hierarchy)
จัดทำแผนการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตลอดจนกำหนดกระบวนการเพื่อการติดตามและตรวจสอบผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
ร่วมมือกับองค์กรหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับความมุ่งมั่นในการสร้างผลกระทบเชิงบวกด้านความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสม่ำเสมอ
พัฒนาระบบข้อมูลและการตรวจสอบด้านผลกระทบต่อป่าไม้ และการตรวจทานการดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สำหรับการดำเนินกิจกรรมของบริษัทในพื้นที่ที่อาจมีความเสี่ยงโดยครอบคลุมทั้งกิจกรรมการดำเนินงานของบริษัทและคู่ค้า
ร่วมมือกับคู่ค้าหลักและคู่ค้าทางอ้อมรายสำคัญในการตรวจประเมินความเสี่ยงและผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และการตัดไม้ทำลายป่า ผ่านการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ของคู่ค้า และการตรวจประเมินผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเชิงลึกของคู่ค้า
สื่อสารเป้าหมายและความคืบหน้าในการดำเนินงานในการสร้างผลกระทบเชิงบวกด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และการดำเนินธุรกิจโดยปราศจากผลกระทบต่อพื้นที่ป่าไม้สุทธิเป็นประจำทุกปี
การประเมินความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจจากประเด็นที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ

การพึ่งพาและผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจที่มีต่อธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ตามกรอบแนวทางของคณะทำงาน TNFD (Taskforce on Nature-related Financial Disclosures) ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถระบุและประเมินทั้งความเสี่ยงและโอกาสที่เกิดจากปัจจัยด้านธรรมชาติ ที่อาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและความยั่งยืนในระยะยาว เราใช้แนวทาง LEAP (Locate, Evaluate, Assess, Prepare) ซึ่งเป็นแนวทางที่ TNFD แนะนำ เพื่อช่วยให้การประเมินประเด็นด้านธรรมชาติครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร การนำกรอบ TNFD มาใช้ในการรายงาน ช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมองเห็นภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดจากธรรมชาติ พร้อมทั้งเข้าใจแนวทางที่บริษัทใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง มีรายละเอียดดังนี้

1. การระบุประเด็นการพึ่งพิงและผลกระทบต่อธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญ
  • ระบุประเด็นการพึ่งพิงธรรมชาติและผลกระทบต่อธรรมชาติจากการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ พลังงานลม พลังน้ำ และพลังงานแสงอาทิตย์ โดยอ้างอิงข้อมูลจากแพลตฟอร์ม Exploring Natural Capital Opportunities, Risks and Exposure (ENCORE)
  • คัดกรองประเด็นการพึ่งพิงและผลกระทบต่อธรรมชาติที่สำคัญสำหรับธุรกิจของเรา โดยอ้างอิงจากความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องในองค์กร ผู้บริหาร และผู้เชี่ยวชาญภายนอก โดยมีประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
การพึ่งพิงธรรมชาติ

การควบคุมสภาพภูมิอากาศ

การใช้น้ำผิวดิน

การป้องกันน้ำท่วมและพายุ

ผลกระทบต่อธรรมชาติ

การปล่อยก๊าซเรือนกระจก

มลพิษทางน้ำ

2. การระบุประเด็นความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพในระดับธุรกิจ
  • ระบุความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ จากประเด็นสำคัญด้านการพึ่งพิงและผลกระทบต่อธรรมชาติตามขั้นตอนที่ 1 ผนวกรวมกับการประเมินความเสี่ยงระดับองค์กร (Enterprise Risks Management: ERM) ดังนี้
ความเสี่ยงทางกายภาพ
ความเสี่ยง การพึ่งพิงและผลกระทบต่อธรรมชาติ มาตรการลดความเสี่ยงระดับองค์กร
ภัยพิบัติ ได้แก่ น้ำท่วม ไต้ฝุ่น และดินถล่ม
  • การควบคุมสภาพภูมิอากาศ
  • การป้องกันน้ำท่วมและพายุ
  • จัดทำแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจให้ครอบคลุมและมีการฝึกซ้อมเป็นประจำ
  • ติดตามสภาพภูมิอากาศจากหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาในพื้นที่
การขาดแคลนน้ำในพื้นที่ความเครียดน้ำสูง
  • น้ำผิวดิน
  • การใช้น้ำทิ้งที่บำบัดแล้วในหอหล่อเย็นและการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำ เช่น การเพิ่มรอบการหมุนเวียนน้ำ
  • ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการหาพื้นที่กักเก็บน้ำหรือแหล่งน้ำสำรองเพิ่มเติม
  • จัดทำแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจให้ครอบคลุมและมีการฝึกซ้อมเป็นประจำ
การสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยและความหลากหลายทางชีวภาพ
  • การใช้ระบบนิเวศทางบก แหล่งน้ำจืด และมหาสมุทร
  • ประเมินผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพก่อนเริ่มโครงการและทบทวนทุก 5 ปี
  • จัดทำแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่โครงการที่มีความเสี่ยง
ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน
ความเสี่ยง การพึ่งพิงและผลกระทบต่อธรรมชาติ มาตรการลดความเสี่ยงระดับองค์กร
ผลกระทบต่อชื่อเสียงองค์กร
  • ก๊าซเรือนกระจก
  • มลพิษทางน้ำ
  • สื่อสารเป้าหมายและผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น รายงานประจำปี และเว็บไซต์
  • ประสานงานกับผู้มีส่วนได้เสีย คู่ธุรกิจ และ/หรือหน่วยราชการท้องถิ่น เพื่อรับฟังความคิดเห็นและปรับปรุงการดำเนินงานในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบจากนโยบายและกฎหมาย
  • ก๊าซเรือนกระจก
  • มลพิษทางน้ำ
  • การใช้ระบบนิเวศทางบก แหล่งน้ำจืด และมหาสมุทร
  • ศึกษารายละเอียดของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ เมื่อมีการดำเนินธุรกิจในพื้นที่ใหม่
  • ติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านช่องทางของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
  • จัดอบรมให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพกับพนักงานและผู้บริหาร
  • ในส่วนของโอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพระบุได้ดังนี้ ได้แก่ การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร การขยายสู่ธุรกิจที่มีผลกระทบต่อธรรมชาติน้อย การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลกที่ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ สิทธิประโยชน์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เช่น การออกตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond) หรือการได้รับเงินกู้สีเขียว (Green Loan) รวมถึงการได้รับการสนับสนุนจากชุมชนในการดำเนินธุรกิจ (Social License to Operate)
3. การระบุพื้นที่โครงการที่มีความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ
  • พื้นที่โครงการที่มีความเชื่อมโยงกับธรรมชาติสูง เป็นพื้นที่ที่มีโอกาสสร้างผลกระทบต่อธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีนัยสำคัญ พิจารณาจากเกณฑ์ดังนี้
    • ความสำคัญและระดับความหลากหลายทางชีวภาพของพื้นที่ธรรมชาติใกล้โครงการ อ้างอิงฐานข้อมูลพื้นที่คุ้มครองทางธรรมชาติและบัญชีแดงขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List) เพื่อระบุประเภทของพื้นที่คุ้มครอง ชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ที่ถูกคุกคามในพื้นที่ และระยะห่างจากโครงการ
    • การขาดแคลนน้ำในพื้นที่โครงการ อ้างอิงจากแผนที่ความเสี่ยงด้านน้ำ AQUEDUCT Water Risk Atlas ของ World Resource Institute
    • ผลกระทบต่อการเข้าถึงธรรมชาติของชนเผ่าและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
  • โครงการที่มีความเชื่อมโยงกับธรรมชาติในระดับสูง จะต้องจัดทำและปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Action Plan: BAP) สอดคล้องกับหลักการบรรเทาผลกระทบตามลำดับชั้น เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการไม่ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีนัยสำคัญ
4. การดำเนินงานเพื่อป้องกันผลกระทบต่อธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพตามหลักการบรรเทาผลกระทบตามลำดับชั้น (Mitigation Hierarchy)

การหลีกเลี่ยง (Avoid)
  • ไม่มีการดำเนินงานในพื้นที่ถิ่นที่อยู่อาศัยที่สำคัญของสัตว์ป่า พื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย พื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่มรดกโลก และพื้นที่ที่ได้รับการปกป้องภายใต้พื้นที่คุ้มครองตามนิยามขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ประเภท I-IV
  • หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่กีดขวางทางน้ำ รุกล้ำลำน้ำสาธารณะ หรือเป็นพื้นที่ชลประทานเพื่อการเกษตรของชุมชนในการดำเนินโครงการ
  • มุ่งเน้นการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการปล่อยมลพิษ
การลดผลกระทบ (Minimise)
  • ปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรฐานในการประเมินและตรวจสอบความหลากหลายทางชีวภาพตามกฎหมายในพื้นที่ดำเนินธุรกิจ อาทิ รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment Report: EIA), รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environmental Examination: IEE), รายงานประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice: CoP), รายงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Report: ER), รายงานการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (Environmental & Safety Assessment: ESA)
  • บูรณาการแนวปฏิบัติด้านการดูแลป้องกันและการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพระดับสากลในการดำเนินงาน อาทิ ADB Safeguards Policy Framework: ESMS - Environmental and Social Management System, การจัดการและติดตามด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมระดับปฏิบัติการ (Environmental and Social Management and Monitoring – Operation Phase: ESMMP-OP) และ IFC Guidance Note 6: Biodiversity Conservation and Sustainable Management of Ecosystem Services and Living Resources
  • ติดตามข้อมูลชนิดพันธุ์สัตว์และพืชผ่านฐานข้อมูลสากล ได้แก่ ฐานข้อมูลโลกว่าด้วยพื้นที่คุ้มครอง (World Database on Protected Areas: WDPA) และเครื่องมือการประเมินความหลากหลายทางชีวภาพแบบบูรณาการ (Integrated Biodiversity Assessment Tool: IBAT)
  • จัดทำมาตรการลดผลกระทบต่อธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพทั้งในระยะก่อสร้างและดำเนินการ ได้แก่
    • ระยะก่อสร้าง : ติดตามผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ อาทิ การตรวจวัดฝุ่นละออง เสียงรบกวน และปฏิบัติตามมาตรการลดผลกระทบ ได้แก่ การฉีดพรมน้ำบริเวณถนนในพื้นที่ก่อสร้างอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อลดการฟุ้งกระจาย และการกักเก็บน้ำทิ้งและน้ำฝนภายในโครงการเพื่อใช้ประโยชน์โดยไม่ปล่อยออกสู่ภายนอก
    • ระยะดำเนินการ : ปฏิบัติตามมาตรการลดผลกระทบต่อธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพตามประเภทโครงการ ได้แก่ การปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ตรวจวัดมลพิษ เพื่อควบคุมและลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ การใช้น้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดในการดำเนินงาน การเพิ่มรอบการหมุนเวียนน้ำในระบบหล่อเย็นและควบคุมคุณภาพน้ำทิ้งตามที่กฎหมายกำหนด การหลีกเลี่ยงสารเคมีกำจัดวัชพืชที่กระทบต่อนกและสัตว์ในพื้นที่โครงการ และการติดตามชนิดพันธุ์สัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตในพื้นที่โครงการ เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมในโครงการตามความเหมาะสม เป็นต้น
การฟื้นฟู และการฟื้นคืนระบบนิเวศ ( Restore and Regenerate)

มุ่งเน้นการฟื้นฟู (Restore) และการฟื้นคืนระบบนิเวศ (Regenerate) รวมถึงการชดเชยผลกระทบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือฟื้นฟูได้ (Offset) เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศในระยะยาว

  • จัดพื้นที่สีเขียวและปลูกพันธุ์ไม้ท้องถิ่นรอบพื้นที่โครงการตามที่กฎหมายกำหนด
  • ร่วมโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูแหล่งน้ำในบริเวณรอบโครงการ อาทิ การปลูกป่าชายเลนและการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ร่วมกับหน่วยราชการ ภาคเอกชน และชุมชน
การปฏิรูป (Transform)
  • ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่คุณค่าและนโยบายเพื่อสนับสนุนผลผลกระทบเชิงบวกต่อธรรมชาติ โดยร่วมผลักดันกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับประเทศ เช่น การลงนามบันทึกความเข้าใจ เรื่องความร่วมมือในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
  • ร่วมจัดกิจกรรมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านความหลากหลายทางชีวภาพกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรนอกภาครัฐ อาทิ โครงการ Save the Tigers และการออกบูธให้ความรู้เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพในนิทรรศการที่เกี่ยวข้อง

ผลการดำเนินงานปี 2567

1 ข้อมูลจากผลการสำรวจจำนวนชนิดพันธุ์นกในปี 2565
2 โครงการที่ดำเนินการทั้งหมด 47 โครงการ ได้รับการทบทวนการใช้ประโยชน์พื้นที่และความหลากหลายทางชีวภาพทุก 5 ปี โดยกำหนดและดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับโครงการที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งปลูกป่าชดเชยสำหรับโครงการที่มีผลกระทบต่อพื้นที่ป่าไม้
3 ต้นไม้ที่ปลูกทั้งหมดตั้งแต่ปี 2551 - 2567 ไม่รวมการปลูกป่าจากบริษัทอื่น ใน บี.กริม กรุ๊ป

ผลการประเมินผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพและพื้นที่ป่าไม้

ในปี 2567 เรามีโครงการทั้งหมด 47 โครงการ ครอบคลุมพื้นที่รวม 1,072.09 เฮกตาร์ (10.72 ตร.กม) เพิ่มขึ้น 50.26 เฮกตาร์จากปีก่อนหน้า จากการปรับขอบเขตการรายงาน โดยรวมพื้นที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Malacha แต่ไม่รวมโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาและธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้ใช้พื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ โดยทุกโครงการได้รับการทบทวนการใช้ประโยชน์พื้นที่และความหลากหลายทางชีวภาพภายในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่และผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ จากการประเมินพบว่ามีโครงการที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพ 3 โครงการ เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย คิดเป็นพื้นที่รวม 24.27 เฮกตาร์ (0.24 ตร.กม.) หรือร้อยละ 2.26 ของพื้นที่โครงการทั้งหมด นอกจากนี้ ยังพบว่ามีโครงการที่มีผลกระทบต่อพื้นที่ป่าไม้ 3 โครงการ เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว รวมพื้นที่ 3.42 เฮกตาร์ (0.03 ตร.กม.) หรือร้อยละ 0.32 ของพื้นที่โครงการทั้งหมด จึงมีการกำหนดแผนและดำเนินการฟื้นฟูด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Action Plan) สำหรับทุกโครงการที่มีความเสี่ยง รวมทั้งปลูกป่าชดเชยเพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่เคยอยู่ในพื้นที่ก่อนก่อสร้างสำหรับโครงการที่มีผลกระทบต่อพื้นที่ป่าไม้ด้วย ทั้งนี้ ไม่มีโครงการใดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย หรือใกล้เคียงกับพื้นที่มรดกโลก และพื้นที่ที่ได้รับการปกป้องภายใต้พื้นที่คุ้มครองตามนิยามขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ประเภทที่ I-IV

ผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อธรรมชาติ

จากการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ พบว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 โครงการ ในพื้นที่เขตลาดกระบังและหนองจอก จังหวัดกรุงเทพมหานคร และอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย ตั้งอยู่ในพื้นที่อพยพที่สำคัญสำหรับนกและสัตว์บางชนิด (IBA - Important Bird and Biodiversity Area) ตามฐานข้อมูลระดับสากลในการตรวจสอบสัตว์บกและสัตว์น้ำในพื้นที่คุ้มครอง (World Database on Protected Areas: WDPA) เราจึงได้ดำเนินการศึกษาความหลากหลายของชนิดพันธุ์และพฤติกรรมการดำรงชีวิตของนกในพื้นที่โครงการและพื้นที่โดยรอบ และกำหนดมาตรการและจัดทำแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Action Plan: BAP) เพื่อหลีกเลี่ยงและลดผลกระทบเชิงลบต่อพื้นที่ IBA ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชที่มีการตกค้างในสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลกระทบต่อนกและสัตว์ป่าในพื้นที่โครงการ
  • ดูแลรักษาพืชพรรณให้เหมาะสมกับการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนก กรณีที่ต้องตัดหญ้า ให้ตัดในระดับความสูงที่รับได้โดยไม่ให้ถึงพื้นดิน
  • ฟื้นฟูพื้นที่โดยปลูกพืชท้องถิ่นที่โตเร็วในพื้นที่โล่งภายในโครงการ เช่น หญ้าสูง กลุ่มต้นกก เป็นต้น
  • ปรับปรุงถนนทางเข้าและริมรั้วโครงการเพื่อรักษาแหล่งที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับนก และส่งเสริมการปลูกพืชในพื้นที่สาธารณะใกล้เคียงร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น
  • บันทึกข้อมูลนกและสัตว์ป่าอื่น ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตในพื้นที่โครงการ เพื่อปรับปรุงมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อทรัพยากรชีวภาพ
  • จัดประเมินความหลากหลายทางชีวภาพของนกและความอุดมสมบูรณ์ของชนิดพันธุ์ทั้งภายในพื้นที่โครงการและพื้นที่โดยรอบ โดยผู้เชี่ยวชาญภายนอก
ผลการศึกษาสำรวจจำนวนชนิดพันธุ์นกในระยะดำเนินการในรอบ 3 ปี

บริษัทได้ดำเนินการสำรวจความหลากหลายของชนิดพันธุ์นกในพื้นที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในช่วงก่อนและหลังเริ่มดำเนินการ โดยมีการสำรวจในช่วงก่อสร้าง (ธันวาคม 2561 – กุมภาพันธ์ 2562) และช่วงดำเนินการ (ธันวาคม 2564 – กุมภาพันธ์ 2565) จากการเปรียบเทียบผลสำรวจพบว่าหลังจากเปิดดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 3 ปี สภาพแวดล้อมภายในโรงไฟฟ้าได้รับการฟื้นฟูจนเอื้อต่อการใช้ประโยชน์ของนกซึ่งส่งผลให้มีจำนวนนกเพิ่มขึ้น รวมถึงพบชนิดพันธุ์นกใหม่เมื่อเทียบกับช่วงก่อสร้าง รวมถึงนกที่จัดอยู่ในสถานะใกล้ถูกคุกคาม (Near Threatened: NT) ตามบัญชีแดงของ IUCN1 ซึ่งสะท้อนว่าผลกระทบจากการดำเนินโครงการต่อความหลากหลายทางชีวภาพอยู่ในระดับต่ำมาก นอกจากนี้ รูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินในรัศมี 1 กิโลเมตรรอบพื้นที่โครงการ ยังมีลักษณะที่เกื้อกูลต่อการเป็นแหล่งอาศัยของนกหลายประเภท ทั้งนกน้ำ นกพุ่ม นกทุ่งหญ้า นกป่า และนกเมืองบางชนิด ทั้งนี้ จากการสำรวจล่าสุดในปี 2565 พบนกที่จัดอยู่ในประเภทใกล้ถูกคุกคาม (NT) เพิ่มขึ้นจาก 2 สายพันธุ์ ในปี 2562 เป็น 6 สายพันธุ์ ได้แก่ นกกระทุง (Pelecanus philippensis) นกกระจาบทอง (Ploceus hypoxanthus) นกกาบบัว (Mycteria leucocephala) นกอ้ายงั่ว (Anhinga melanogaster) นกช้อนหอยขาว (Threskiornis melanocephalus)  และนกสติ๊นท์คอแดง (Calidris ruficollis) การสำรวจรอบถัดไปมีกำหนดดำเนินการในช่วงปี 2567-2568 เพื่อประเมินแนวโน้มและวางมาตรการอนุรักษ์เพิ่มเติมในระยะยาว

หมายเหตุ
1สถานภาพการอนุรักษ์ตามบัญชีแดงของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (The IUCN Red List of Threatened Species) สถานะของชนิดพันธุ์สิ่งมีชีวิตในระดับโลก แบ่งออกเป็นหลายระดับตามความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ดังนี้ CR (Critically endangered) หมายถึง ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งในระดับโลก, EN (Endangered) หมายถึง ใกล้สูญพันธุ์ในระดับโลก, VU (Vulnerable) หมายถึง มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ในระดับโลก, NT (Near-threatened) หมายถึง ใกล้ถูกคุกคามในระดับโลก, และ LC (Least concern) หมายถึง เป็นกังวลน้อยที่สุด ยังไม่ถูกคุกคาม และพบเห็นได้ทั่วไป

ผลการดำเนินงานด้านการดูแลทรัพยากรป่าไม้

บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมป่าไม้ สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมและหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อดำเนินโครงการปลูกป่าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551 โดยเล็งเห็นความสำคัญและความจำเป็นของการชดเชยพื้นที่ป่า เพื่อฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ และระบบนิเวศ จากปัญหาความเสื่อมโทรมและการลดลงของป่าไม้ที่อยู่ในขั้นวิกฤติ ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เรามุ่งมั่นที่จะขยายพื้นที่ป่าเพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์และความสมดุลแก่ธรรมชาติ สร้างความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศ เพิ่มพื้นที่ให้สัตว์ต่าง ๆ ได้ขยายพันธุ์ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศ พร้อมต่อยอดเป็นพื้นที่ต้นแบบการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศวิทยา เป็นแหล่งบ่มเพาะความรู้ และสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้แก่ชุมชนโดยรอบ และบุคคลทั่วไป

ณ สิ้นปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ ดำเนินการปลูกต้นไม้รวมทั้งสิ้น 100,000 ต้น ผ่านกิจกรรมและโครงการปลูกป่าหลากหลายรูปแบบ อาทิ กิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี กิจกรรมจิตอาสาปลูกป่าเพื่อพัฒนาพื้นที่ชุมชนและอนุรักษ์ป่าชายเลน กิจกรรมปรับปรุงภูมิทัศน์รอบโรงไฟฟ้าเพื่อปลูกฝังพฤติกรรมด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์พลังงาน กิจกรรมพลิกฟื้นผืนป่าด้วยพระบารมีร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โครงการความร่วมมือเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง กิจกรรมปลูกป่าเพื่อลด สู่อนาคตที่ยั่งยืน Let’s Zero Together ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และโครงการปลูกป่าฟื้นฟูพันธุ์ไม้ในพื้นที่โรงไฟฟ้าและพื้นที่โดยรอบ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำแจ 1 ร่วมกับแผนกทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แขวงชัยสมบูรณ์ สปป.ลาว รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซน้ำน้อยและเซกะตำ ทั้งนี้ ความพยายามดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการอนุรักษ์ระบบนิเวศ เพิ่มพื้นที่สีเขียว และสนับสนุนเป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับภูมิภาค

ผลการดำเนินงานด้านความร่วมมือกับองค์กรภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งส่งเสริมความร่วมมือกับองค์กรภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน รวมถึงสนับสนุนให้ภาคีเครือข่ายดำเนินงานอย่างสอดคล้องกับหลักการอนุรักษ์ความหลากหลายชีวภาพและการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างยั่งยืน ในฐานะสมาชิกของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact: UNGC) เราได้ร่วมขับเคลื่อนการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพกับหน่วยงานภาครัฐ ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เรื่องความร่วมมือในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ยังร่วมสนับสนุนกิจกรรมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านความหลากหลายทางชีวภาพของหน่วยงานภาครัฐและนอกภาครัฐ ดังนี้

  • ดำเนินโครงการ Save the Tigers อย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาได้จัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของระบบนิเวศ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า รวมถึงการพัฒนาขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่อุทยาน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการรักษาสมดุลของธรรมชาติ โดยกิจกรรมสำคัญประกอบด้วย การจัดแถลงข่าวเชิงเสวนา “ผู้พิทักษ์ป่า เสือโคร่ง : ร่วมคืนสมดุลสู่ผืนป่าไทย” ร่วมกับมูลนิธิอมตะและกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช การจัดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการอุทยาน การเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์โครงการ Save the Tigers ตลอดจนการร่วมเผยแพร่สารคดี “CNN: Mission Tiger” ผ่านช่องทางสื่อระดับโลก เพื่อขยายผลและสร้างแรงบันดาลใจในวงกว้างในการอนุรักษ์สัตว์ป่าและระบบนิเวศของไทยอย่างยั่งยืน
  • ลงชื่อสนับสนุนข้อตกลงร่วม (Joint agreement) ในโครงการการริเริ่มกลไกทางการเงินเพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในการดำเนินธุรกิจ (Finance for Biodiversity: Fin4Bio) ร่วมกับ 31 องค์กรจากภาครัฐ เอกชน และสถาบันทางการเงิน เพื่อพัฒนากลไกในการระดมเงินทุน มาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Taxonomy) ด้านความหลากหลายทางชีวภาพและระบุมาตรการที่เหมาะสมในการมุ่งสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรแก่ธรรมชาติ (Nature Positive Economy) ของแต่ละประเทศ
  • เข้าร่วมนิทรรศการและออกบูธเพื่อเสริมสร้างความตระหนักและความรู้ความเข้าใจด้านความหลากหลายทางชีวภาพในงานประชุมที่เกี่ยวข้อง อาทิ งานประชุมวิชาการระดับชาติ TST ครั้งที่ 12 ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล งานวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพประจำปี 2567 ในหัวข้อ “Be Part of the Plan” (ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแผน : สร้างความเป็นหุ้นส่วน สร้างความร่วมมือ มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน) จัดโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นต้น
  • สนับสนุนการจัดทำและบรรลุเป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพตามแผนปฏิบัติการด้านหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ โดยบี.กริม เพาเวอร์ ทำการสำรวจพื้นที่ป่าชุมชนเป้าหมาย ใกล้พื้นที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม บ่อทอง วินด์ฟาร์ม โดยคัดเลือกพื้นที่ป่าชุมชนบ้านหลุบปึ้ง อ.นิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เพื่อเข้าร่วมโครงการตอบแบบประเมินเบื้องต้นสำหรับพื้นที่ที่มีศักยภาพเป็นพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตพื้นที่คุ้มครอง (Other Effective Area-Based Conservation Measures: OECMs) ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)