โอกาสและความท้าทาย
การทำให้มั่นใจว่าพนักงาน ผู้รับเหมา และผู้เยี่ยมชมโครงการมีความปลอดภัยในการทำงานทั้งร่างกายและจิตใจเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญสูงสุดในการดำเนินธุรกิจของ บี.กริม เพาเวอร์ เราจึงให้ความสำคัญในการจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ คุณภาพ และประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า ผลกระทบต่อชุมชนรอบโรงไฟฟ้า การส่งเสริมความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์องค์กรต่อผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง เช่น พนักงาน ชุมชน หน่วยงานกำกับดูแล และคู่ค้า เป็นต้น
เป้าหมายและผลการดำเนินงาน
| ปี 2567 | ปี 2568 | ปี 2573 | ||
|---|---|---|---|---|
| ผลการดำเนินงาน | เป้าหมาย | เป้าหมาย | เป้าหมาย | |
| อัตราการบาดเจ็บจากการทำงานจนถึงขั้นหยุดงาน1 | ||||
| พนักงาน3 | 0 | 0 | 0 | 0 |
| ผู้รับเหมา | 0.41 | 0 | 0 | 0 |
| อัตราการเสียชีวิตจากการทำงาน2 | ||||
| พนักงาน | 0 | 0 | 0 | 0 |
| ผู้รับเหมา | 0 | 0 | 0 | 0 |
1 อัตราการบาดเจ็บจากการทำงาน หมายถึง จำนวนคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการทำงานถึงขั้นหยุดงานต่อหนึ่งล้านชั่วโมงทำงาน
2 อัตราการเสียชีวิต หมายถึง จำนวนคนที่เสียชีวิตจากการทำงานต่อหนึ่งล้านชั่วโมงทำงาน
3 อัตราความถี่ของการบาดเจ็บถึงขั้นหยุดงาน (Lost Time Injury Frequency Rate: LTIFR) ด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยสำหรับพนักงานของ บี.กริม ได้รับการเทียบเคียงกับมาตรฐานอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้า (อัตรา 0.05–0.15 ต่อ 200,000 ชั่วโมงการทำงาน) โดยอ้างอิงข้อมูลจากสภาการเหมืองแร่และโลหะระหว่างประเทศ (ICMM) และสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของ GRI 403 ปัจจุบัน อัตรา LTIFR ของ บี.กริม ยังคงอยู่ที่ระดับ 0 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานของอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแข็งแกร่งของเราต่อวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรกในการดำเนินงาน
การบริหารจัดการและกลยุทธ์
นโยบายและความมุ่งมั่น
- ตรวจสอบและติดตามการดำเนินงานให้สอดคล้องกับกฎหมาย ข้อบังคับ และมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
- ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการปรับปรุงกระบวนการให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น
- กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรและการก่อมลพิษ สอดคล้องกับความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการดำเนินงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
- ประเมินความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม และกำหนดมาตรการป้องกันแก้ไข ตลอดจนจัดทำแผนฉุกเฉินเพื่อรับมือ ป้องกันและควบคุมความเสียหายหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้น
- สร้างจิตสำนึกและฝึกอบรมให้แก่พนักงานและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้ และสร้างความตระหนักต่อผลกระทบและความเสี่ยงด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม จากการทำงาน และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของพนักงานในการแสดงความคิดเห็นเพื่อพัฒนาระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมของบริษัท
- กำหนดโครงสร้างกำกับดูแลและความรับผิดชอบของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม
โครงสร้างการกำกับดูแล
บี.กริม เพาเวอร์ วางโครงสร้างการกำกับดูแลด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ดำเนินการตามนโยบายและส่งเสริมประสิทธิภาพของการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องและมีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ โดยกำหนดเป็นหน้าที่ของพนักงานทุกคน ทุกระดับ ในการรับผิดชอบและปฏิบัติตามนโยบายนี้ ผ่านการกำกับดูแลโดยผู้เกี่ยวข้องหลัก ดังนี้
มีหน้าที่กำกับดูแลและรับรองนโยบาย กำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ และทบทวนประสิทธิภาพของระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม เป็นประจำทุกปี
ประกอบด้วยคณะกรรมการบริหารและตัวแทนจากคณะทำงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม มีหน้าที่จัดทำนโยบายและกลยุทธ์ รับผิดชอบและติดตามผลการปฏิบัติงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายและทิศทางขององค์กร
ประกอบด้วยตัวแทนผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับวิชาชีพจากสำนักงานกรุงเทพฯ และโรงไฟฟ้า มีหน้าที่กำกับดูแล ติดตาม รายงาน และกำหนดแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการทำงาน สิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรป่าไม้ ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและนโยบายของบริษัท โดยมีการประชุมทุกเดือน เพื่อสื่อสารนโยบาย หารือกับผู้มีส่วนได้เสียหลักทั้งภายในและภายนอกองค์กร แบ่งปันมุมมองหรือความคิดริเริ่มในการปรับปรุงระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือและสร้างความตระหนักในหมู่พนักงาน ผู้รับเหมา คู่ค้า หน่วยงานกำกับดูแล และผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
กลยุทธ์
บี.กริม เพาเวอร์ ได้ยกระดับการบริหารจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล นอกเหนือจากการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยได้รับการรับรองระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (ISO 45001:2018) สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมทั้งหมด รวมถึงได้รับการรับรองระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (ISO 14001:2015) และระบบการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (ISO 22301:2019) โดยมีการประเมินความเสี่ยงด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตรวจสอบและติดตามผล รวมถึงทบทวนวัตถุประสงค์อย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนส่งเสริมกิจกรรมความปลอดภัยและสื่อสารนโยบายแก่พนักงานและผู้เกี่ยวข้อง มีสาระสำคัญดังนี้
จัดให้มีการชี้บ่งอันตราย ประเมินความเสี่ยงและวิเคราะห์ลักษณะการทำงาน (Job Safety Analysis) สำหรับพนักงานและผู้รับเหมาครอบคลุมทุกกิจกรรม ก่อนเข้าปฏิบัติงาน
ประเมินโอกาสและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกันให้สอดคล้องกับความเสี่ยง โดยใช้หลักการลำดับชั้นของการควบคุมอันตราย (Hierarchy of Controls) เพื่อให้มั่นใจว่าการปฏิบัติงานมีความปลอดภัย สอดคล้องกับแผนงานและเป้าหมาย โดยให้พนักงานระดับหัวหน้างานขึ้นไปเป็นผู้ประเมินความเสี่ยงพิจารณาจาก โอกาสในการเกิด (Likelihood) และผลกระทบ (Impact) แบ่งระดับความเสี่ยงเป็น 5 ระดับ ได้แก่ ความเสี่ยงสูงมาก (Very High Risk) ความเสี่ยงสูง (High Risk) ความเสี่ยงปานกลาง (Medium Risk) ความเสี่ยงต่ำ (Low Risk) และความเสี่ยงต่ำมาก (Very Low Risk) ในกรณีที่พบว่ามีความเสี่ยงสูง ทางผู้เกี่ยวข้องต้องกำหนดมาตรการควบคุม หรือขั้นตอนในการปฏิบัติงานที่ปลอดภัยเพื่อให้ความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำ (Low Risk) ก่อนเริ่มปฏิบัติงาน พิจารณาตั้งแต่การขจัดอันตราย (Elimination) การปรับเปลี่ยนวัสดุหรือกระบวนการ (Substitution) การแยกกระบวนการหรือเครื่องจักรออกจากผู้ปฏิบัติงาน (Isolation) การออกแบบหรือติดตั้งอุปกรณ์เพื่อลดอันตราย (Engineering) การบริหารจัดการ (Administration) เช่น กำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องผ่านการอบรมตามหลักสูตรด้านความปลอดภัยตามความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง การตรวจสุขภาพก่อนเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่อันตราย เช่น สถานที่อับอากาศ รวมถึงการสื่อสารความปลอดภัยให้ผู้เกี่ยวข้องทราบก่อนเริ่มปฏิบัติงาน ตลอดจนการสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment: PPE) จึงจะสามารถปฏิบัติงานได้ รวมทั้งพิจารณาว่าการดำเนินงานจะไม่ส่งผลกระทบกับชุมชนรอบข้างโรงไฟฟ้า
ทั้งนี้ การประเมินความเสี่ยงดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการขอใบอนุญาตเข้าทำงานในพื้นที่โรงไฟฟ้า นอกจากนั้นกรณีพนักงานพบความอันตรายในการทำงานหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยในพื้นที่ ให้แจ้งคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน (คปอ.) ของโรงไฟฟ้านั้น ๆ เพื่อดำเนินการปรับปรุง แก้ไข ให้เกิดความปลอดภัย
การกำกับดูแลผู้ปฏิบัติงานและการควบคุมสภาพแวดล้อมในการทำงาน
- กำหนดกฎระเบียบและจัดทำคู่มือความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ครอบคลุมถึงพนักงาน ผู้รับเหมาและบุคคลที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ปฏิบัติงานเพื่อให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยหัวหน้างานและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) มีหน้าที่ในการกำกับดูแลและตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรการและแนวทางความปลอดภัย เช่น ผู้รับเหมาทุกรายต้องผ่านการอบรมด้านความปลอดภัยก่อนเข้าพื้นที่ปฏิบัติงาน ผู้รับเหมาต้องมีหัวหน้างานที่มีความรู้ด้านความปลอดภัยในการดูแลรับผิดชอบตลอดระยะเวลาปฏิบัติงาน เป็นต้น
- กำหนดให้พนักงานและผู้เกี่ยวข้องสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน รวมถึงมีการตรวจวัดและประเมินสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างสม่ำเสมอตามมาตรฐานและข้อกำหนด เช่น ระดับความดังเสียง แสงสว่าง และความร้อน เป็นต้น
- มีการตรวจติดตามการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอโดยหัวหน้างาน เมื่อพบผู้ปฏิบัติงานไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานที่กำหนด หรือสภาพพื้นที่ไม่ปลอดภัย มีความเสี่ยงที่อาจได้รับอันตราย จะดำเนินการสั่งหยุดงานทันที พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ปฏิบัติงานปฏิบัติตามขั้นตอนที่ปลอดภัยหรือปรับปรุงสภาพพื้นที่ให้ปลอดภัย ก่อนอนุญาตให้ปฏิบัติงานอีกครั้ง
- จัดการประชุมคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน (คปอ.) ในระดับโรงไฟฟ้าและสำนักงานกรุงเทพฯ ตามกฎหมาย เพื่อสำรวจ รายงาน และเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางปรับปรุงแก้ไขสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่ปลอดภัย เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำในพื้นที่นั้น ๆ
- จัดการประชุมคณะทำงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม เพื่อกำกับดูแล ติดตาม รายงาน กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยในการทำงาน สื่อสารและหารือกับผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอกองค์กร ทั้งยังมีการแบ่งปันมุมมองหรือความคิดริเริ่มในการปรับปรุงระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือและสร้างความตระหนักด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
- มีการตรวจติดตามการปฏิบัติงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ของโรงไฟฟ้าโดยฝ่ายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม (Corporate SHE) และสายงานตรวจสอบภายใน เพื่อให้มั่นใจว่าโรงไฟฟ้าปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด และนโยบายด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมของ บี.กริม เพาเวอร์ อย่างเคร่งครัด
การรายงานและสอบสวนอุบัติการณ์
กำหนดให้รายงานอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์ที่เกิดในพื้นที่ของบริษัทอย่างเป็นระบบ โดยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์หรือผู้พบเห็นต้องปฏิบัติตามแผนตอบสนองเหตุฉุกเฉิน และแจ้งหัวหน้างานให้เร็วที่สุด คณะทำงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริง (Root Cause Analysis) ดำเนินการแก้ไข ตลอดจนกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ และนำส่งรายงานอุบัติเหตุตามแบบฟอร์มที่กำหนดต่อหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง โดยติดตามผลการดำเนินการแก้ไข ปรับปรุง ตามมาตรการป้องกันที่ได้ระบุไว้เป็นระยะ และจัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลการเรียนรู้กลาง (Knowledge Sharing) ของ บี.กริม เพาเวอร์ ซึ่งพนักงานสามารถเข้าถึงได้ พร้อมทั้งสื่อสารบทเรียนจากอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น (Lesson Learned Sharing) ให้กับพนักงานและผู้รับเหมาทราบผ่านสื่อต่าง ๆ ของบริษัท
การตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน
บี.กริม เพาเวอร์ ให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ เช่น เพลิงไหม้ สารเคมีรั่วไหล น้ำท่วม ท่อก๊าซธรรมชาติรั่วไหล เป็นต้น เพื่อให้เราสามารถตอบโต้ภาวะฉุกเฉินอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานสากล โดยประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเพื่อจัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) และแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (Emergency Response Plan: ERP) รวมทั้งกำหนดแนวทางการสื่อสารภาวะฉุกเฉินทั้งภายในและภายนอกองค์กร ผสมผสานการบริหารงาน 3 ระบบ ได้แก่ ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (ISO 14001:2015) ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (ISO 45001:2018) และระบบการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management: BCM) (ISO 22301:2019) ครอบคลุมระดับองค์กร ทั้งสำนักงานกรุงเทพฯ และโรงไฟฟ้า เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถตอบโต้ภาวะฉุกเฉินและยังดำเนินธุรกิจของบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนรอบโรงไฟฟ้าและผู้มีส่วนได้เสีย โดยจัดให้มีการซ้อมแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจและแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉินในทุกโรงไฟฟ้าเป็นประจำทุกปี

การอบรมและส่งเสริมวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยและสุขภาพที่ดี
ด้านความปลอดภัยในการทำงาน เราให้ความสำคัญกับการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งความปลอดภัย โดยมุ่งสร้างความรู้ ความตระหนัก พร้อมเพิ่มทักษะความสามารถด้านความปลอดภัยในการทำงานครอบคลุมพนักงานและผู้รับเหมา โดยจัดการอบรมด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยตามข้อกำหนดของกฎหมาย รวมถึงหลักสูตรความปลอดภัยเฉพาะทางตามลักษณะงาน เช่น การปฏิบัติงานในสถานที่อับอากาศ การปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟ้า การปฏิบัติงานบนที่สูง การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การฟื้นคืนชีพและการใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (CPR&AED) การป้องกันอันตรายด้วยระบบล็อคนิรภัยและป้ายเตือน (Lock Out Tag Out) ตลอดจนส่งเสริมแนวทางความปลอดภัยด้วยพฤติกรรมความปลอดภัย (Behaviour-Base Safety: BBS) เพื่อสร้างความตระหนักให้กับพนักงานทุกคน
ด้านการส่งเสริมสุขภาพ เราเชื่อมั่นว่าการส่งเสริมให้พนักงานมีสุขภาวะที่ดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้พนักงานปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัยเราจึงจัดให้มีการตรวจประเมินสุขภาพตามปัจจัยเสี่ยงของลักษณะงานให้แก่พนักงานทุกคนเป็นประจำทุกปี พร้อมประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพของพนักงาน นอกเหนือจากนี้ เรายังได้จัดทำโปรแกรมสำหรับพนักงานที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยง เช่น พื้นที่อับอากาศ จะต้องผ่านการประเมินสุขภาพปอดและระบบทางเดินหายใจอย่างละเอียด ซึ่งกระบวนการนี้ไม่เพียงสร้างความมั่นใจถึงความพร้อมในการปฏิบัติงาน แต่ยังทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันสุขภาพเชิงรุก โดยใช้เครื่องมือวินิจฉัย เช่น การเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อคัดกรองภาวะเจ็บป่วยในระยะเริ่มต้น ซึ่งรวมถึงโรคปอด วัณโรค เป็นต้น รวมถึงการมอบสวัสดิการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปีแก่พนักงานทุกคนพร้อมส่วนลดสำหรับครอบครัว เพราะการป้องกันไข้หวัดใหญ่ไม่เพียงช่วยลดอัตราการลาป่วย แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดภายในองค์กร นอกจากนี้ ยังประชาสัมพันธ์และจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพแก่พนักงานเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เช่น กิจกรรมสัปดาห์ความปลอดภัย กิจกรรมเดิน-วิ่ง จัดสถานที่ออกกำลังกายภายในบริษัท กิจกรรมกีฬาสานสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน เป็นต้น ทั้งนี้สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อ "พนักงานของเรา"
ผลการดำเนินงานปี 2567
100%
ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม1
- ได้รับการรับรองระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (ISO 45001:2018)
- ได้รับการรับรองระบบการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (ISO 22301:2019)
ไม่มี
การเสียชีวิต
ในพนักงานและผู้รับเหมา
16,193 ชั่วโมง
การอบรมด้านอาชีวอนามัย และความปลอดภัยแก่พนักงานจำนวน 1,108 คน
1 ครอบคลุมโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นเวลาอย่างต่ำ 3 ปี สำหรับ ISO 45001:2018 และ 1 ปี 6 เดือน สำหรับ ISO 22301:2019
2 พนักงานจำนวนทั้งสิ้น 1,108 คน ผ่านการอบรมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยรวม โดยในจำนวนนี้ 948 คน ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทางด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
บี.กริม เพาเวอร์ ดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัยต่อเนื่อง ได้แก่ การตรวจสอบพื้นที่ปฏิบัติงาน ทบทวนขั้นตอนการปฏิบัติงานเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ การอบรมพนักงานให้ทราบถึงขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย และตรวจติดตามระหว่างการปฏิบัติงานโดยหัวหน้างานเป็นระยะ ๆ โดยในปี 2567 ไม่มีการเสียชีวิตทั้งในพนักงานและผู้รับเหมา ตลอดจนไม่มีการบาดเจ็บถึงขั้นหยุดงานในพนักงาน อย่างไรก็ตาม มีกรณีการบาดเจ็บถึงขั้นหยุดงานในผู้รับเหมา 1 กรณี ซึ่งมีการสอบสวนอุบัติเหตุโดยผู้ที่เกี่ยวข้องและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับวิชาชีพ (จป.วิชาชีพ) มีการติดตามมาตรการแก้ไข ป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ และนำส่งรายงานต่อหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ผู้ประสบอุบัติเหตุสามารถกลับมาปฏิบัติงานได้ปกติและได้รับการชดเชยดูแลตามกฎหมาย
พัฒนาแนวทางการบริหารจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
- ทบทวนความเสี่ยงจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าที่อาจส่งผลต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ ภาวะฉุกเฉิน ซึ่งครอบคลุมเหตุเพลิงไหม้ สารเคมีรั่วไหล น้ำท่วม ท่อก๊าซธรรมชาติรั่วไหล รวมทั้งบูรณาการแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉินครอบคลุมเหตุการณ์ดังกล่าว ฝึกซ้อมแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) และแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (Emergency Response Plan: ERP) ของโรงไฟฟ้า พร้อมประเมินผลการฝึกซ้อมโดยที่ปรึกษาตามมาตรฐานสากลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินการ และเป็นการฝึกซ้อมร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องในพื้นที่โรงไฟฟ้า ได้แก่ สำนักงานนิคมอุตสาหกรรม และหน่วยงานท้องถิ่น โดยมีการเชิญผู้แทนจากชุมชนรอบพื้นที่โรงไฟฟ้าเข้าร่วมสังเกตการณ์ ในปี 2567 มีการซ้อมแผน ดังนี้
การซ้อมแผนกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้

การซ้อมแผนกรณีสารเคมีรั่วไหล

การซ้อมแผนกรณีท่อก๊าซรั่วไหล

การซ้อมแผนกรณีน้ำท่วม

- กำหนดให้มีการตรวจสอบพื้นที่และสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงาน ครอบคลุมพื้นที่ทุกโรงไฟฟ้าอย่างน้อยเดือนละครั้ง และทุก ๆ สามเดือนสำหรับสำนักงานกรุงเทพฯ โดยคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน (คปอ.) ประจำแต่ละโรงไฟฟ้าและสำนักงานกรุงเทพฯ หากพบสภาพการทำงาน หรือสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่ปลอดภัย ผู้เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการปรับปรุง แก้ไขเพื่อให้เกิดความปลอดภัยภายในระยะเวลาที่กำหนด
- ตรวจติดตามการปฏิบัติงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยเป็นประจำทุกปี โดยฝ่ายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม (Corporate SHE) โดยในปี 2567 มีการตรวจติดตามทั้งหมด 46 โรงไฟฟ้า พบประเด็นด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยที่สามารถปรับปรุงเพิ่มเติม ได้แก่ การปรับปรุงระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมเพื่อเตรียมการขอการรับรอง ISO 45001:2018 ในปี 2568 อาทิ การจัดทำทะเบียนกฎหมาย การจัดทำแผนการอบรม และการทบทวนโดยฝ่ายบริหาร เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบประเด็นในการปรับปรุงระบบการขออนุญาตทำงานสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนพื้นดิน ซึ่งได้ติดตามแก้ไขครบถ้วนแล้ว
- ในปี 2567 สายงานตรวจสอบภายในมีการบูรณาการประเด็นด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในขอบเขตการตรวจสอบการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ตามแผนงานตรวจสอบภายใน โดยมุ่งเน้นการควบคุมด้านการกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติงาน แผนงานประจำปี การปฏิบัติตามแผนงาน การติดตามและรายงานผล ให้สอดคล้องตามนโยบายและข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง โดยได้ตรวจสอบการบริหารงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในโครงการโรงไฟฟ้าแบบติดตั้งบนหลังคาในประเทศไทย พบประเด็นการควบคุมและได้สื่อสารกับหน่วยงานผู้รับตรวจพร้อมกำหนดวันที่ปรับปรุงการควบคุมและดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว
- ทบทวนการเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์ที่ผ่านมารวมทั้งความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับพนักงาน ผู้รับเหมา รวมถึงผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนจัดทำเป็นสื่อความปลอดภัย เช่น การใช้รถยนต์ภายในพื้นที่โรงไฟฟ้า อุบัติเหตุที่เกิดจากความล้มเหลวของอุปกรณ์เครื่องจักรที่ชำรุด อันตรายจากเพลิงไหม้หรือสารเคมีรั่วไหล แนวทางการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุซ้ำ เป็นต้น
การอบรมและส่งเสริมวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยและสุขภาพที่ดี
- จัดอบรมด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานตามลักษณะงาน เพื่อส่งเสริมทักษะและความรู้ที่เกี่ยวข้องให้กับพนักงานรวม 16,193 ชั่วโมง เช่น การอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานตามตำแหน่ง การอบรมความปลอดภัยด้านต่าง ๆ อาทิ การทำงานกับไฟฟ้า การทำงานกับหม้อไอน้ำ การทำงานในสถานที่อับอากาศ การอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการช่วยฟื้นคืนชีพด้วยเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ (AED) การป้องกันอันตรายด้วยระบบล็อคนิรภัยและป้ายเตือน (Lock Out Tag Out) เป็นต้น พร้อมทั้งจัดอบรมด้านความปลอดภัยให้กับผู้รับเหมาและผู้เกี่ยวข้องให้เกิดความตระหนักเรื่องอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์จากการทำงานอีกด้วย
- จัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมด้านความปลอดภัย เช่น กิจกรรมสัปดาห์ความปลอดภัยในแต่ละโรงไฟฟ้าเพื่อสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัยในการทำงานและส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้แก่พนักงาน ป้องกันควบคุมผลกระทบด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการอบรมให้ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนแนวคิดด้านความพฤติกรรมปลอดภัย รวมถึงมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ เช่น กิจกรรมเดิน-วิ่งเก็บระยะ 3 เดือน Walk for Health 2024 เป็นการส่งเสริมให้พนักงานเคลื่อนไหวร่างกาย ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม กิจกรรมการค้นหาอันตรายจากภาพให้พนักงานร่วมสนุกโดยการบ่งชี้อันตราย เป็นต้น
- สื่อสารและประชาสัมพันธ์ข้อมูลด้านความปลอดภัยผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นประจำทุกเดือน โดยนำเสนอความรู้และสาระที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อส่งเสริมความตระหนักด้านความปลอดภัยแก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังเพิ่มช่องทางการสื่อสารผ่าน Line Official เพื่ออำนวยความสะดวกให้พนักงานสามารถสอบถามข้อมูลและแลกเปลี่ยนประเด็นด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมการแจ้งเหตุการณ์ที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยระหว่างปฏิบัติงาน การรายงานอุบัติเหตุ การขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลและกิจกรรมที่สนับสนุนวัฒนธรรมความปลอดภัยภายในองค์กร
- ควบคุมการเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่โรงไฟฟ้าอย่างเคร่งครัด โดยผู้ปฏิบัติงานภายในพื้นที่โรงไฟฟ้าจะต้องสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล และผ่านการอบรมด้านความปลอดภัยโดยเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับวิชาชีพ (จป.วิชาชีพ) ของแต่ละโรงไฟฟ้า กรณีทำงานในพื้นที่หรือลักษณะงานที่มีความเสี่ยงสูงตามกำหนด เช่น การทำงานที่อับอากาศ การทำงานบนที่สูง การทำงานกับความร้อนและประกายไฟ การทำงานกับไฟฟ้า เป็นต้น จะต้องขออนุญาตเข้าพื้นที่ตามแบบฟอร์มที่กำหนด พร้อมทั้งตรวจสอบและควบคุมให้สภาพแวดล้อมในการทำงานเกิดความปลอดภัยตลอดเวลาปฏิบัติงาน