โอกาสและความท้าทาย
บี.กริม เพาเวอร์ ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ร่วมมือกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล คำนึงถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม รวมถึงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงอย่างรอบด้านและส่งเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Resilience) เพื่อให้บริษัทและผู้มีส่วนได้เสียสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานได้อย่างทันท่วงที พร้อมเสริมศักยภาพในการแข่งขันท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เป้าหมายและผลการดำเนินงาน
| ปี 2567 ผลการดำเนินงาน |
ปี 2567 เป้าหมาย |
|
|---|---|---|
| คู่ค้าลำดับที่ 1 รับทราบจรรยาบรรณและแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้า (ร้อยละของคู่ค้าลำดับที่ 11) |
100 % | 100 % |
| ตรวจประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) (ร้อยละของคู่ค้าหลักและคู่ค้าทางอ้อมรายสำคัญ2) |
100 % | 100 % |
| ตรวจประเมินการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเชิงลึกกับคู่ค้าที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจ2 และวางแผนงานในการปรับปรุงปัญหาด้าน ESG ร่วมกัน (ร้อยละของคู่ค้าที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจ) |
100 % | 100 % |
1 ครอบคลุมคู่ค้าลำดับที่ 1 จากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย หรือคิดเป็นร้อยละ 91.5 ของรายได้รวม
2 บี.กริม เพาเวอร์ จำแนกคู่ค้าตามระดับความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของเรา และความเสี่ยงด้าน ESG ของคู่ค้า ดังนี้
- คู่ค้าลำดับที่ 1 (Tier 1 Suppliers) คู่ค้าที่มีสัญญาซื้อขายสินค้าและบริการโดยตรงกับบี.กริม เพาเวอร์
- คู่ค้าหลัก (Critical Tier 1 Suppliers) คู่ค้าที่มีมูลค่าสั่งซื้อสูง มีการสั่งซื้อต่อเนื่อง สินค้า/บริการมีความสำคัญสูง หรือระดับการพึ่งพาคู่ค้าสูง
- คู่ค้าทางอ้อมรายสำคัญ (Critical Non-Tier 1 Suppliers) คู่ค้าที่ไม่ได้จัดหาสินค้า/บริการให้บี.กริม เพาเวอร์โดยตรง แต่จัดหาสินค้า/บริการที่มีความสำคัญให้คู่ค้าหลัก
- คู่ค้าที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจ (Significant Suppliers) คู่ค้าหลักและคู่ค้าทางอ้อมรายสำคัญที่มีผลการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ในระดับปานกลางและสูง ซึ่งจะต้องได้รับการตรวจประเมินผลการปฏิบัติงานด้านความยั่งยืนของคู่ค้าอย่างต่อเนื่องทุกปี
การบริหารจัดการและกลยุทธ์
กำหนดจรรยาบรรณและแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้า ซึ่งเชื่อมโยงกับขั้นตอนการจัดซื้อ โดยมุ่งหวังให้คู่ค้าดำเนินธุรกิจอย่างสอดคล้องกับจรรยาบรรณและแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืน ประเด็นจริยธรรมทางธุรกิจ และครอบคลุมถึงการปฏิบัติด้านแรงงานและสิทธิมนุษยชน ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่นอกเหนือจากเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ตลอดจนครอบคลุมถึงความพยายามที่จะส่งเสริมให้คู่ค้าขจัดผลกระทบเชิงลบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และส่งเสริมผลกระทบเชิงบวกสุทธิที่เกิดจากการดำเนินการของกิจกรรมที่คู่ค้าได้รับการว่าจ้าง
จรรยาบรรณและแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้า
โครงสร้างการกำกับดูแล
บี.กริม เพาเวอร์ แบ่งการกำกับดูแลและบริหารงานจัดซื้อจัดจ้างเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1) การจัดหาวัตถุดิบหลักในการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาระยะยาว ได้แก่ การจัดหาก๊าซธรรมชาติและน้ำ กำกับดูแลโดยโรงไฟฟ้าแต่ละโรง โดยตรวจสอบคุณภาพและปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติของโรงไฟฟ้า และตรวจสอบที่มา คุณภาพน้ำของแหล่งน้ำ รวมถึงการบำบัดน้ำทิ้งที่ได้รับจากโรงไฟฟ้าให้ได้คุณภาพตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อกำหนดโครงสร้างและระยะเวลาของสัญญาให้สอดคล้องกับการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้า โดยฝ่ายกฎหมายจะตรวจสอบรายละเอียดของสัญญาและเงื่อนไขต่าง ๆ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมาย ทั้งนี้ ข้อมูลจากระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์ถูกนำมาใช้ในการบริหารและปรับปรุงสัญญาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งมีการประชุมทบทวนเงื่อนไขและการส่งมอบร่วมกับคู่ค้าอย่างสม่ำเสมอ
2) การจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการทั่วไป โดยมีกระบวนการดำเนินงานอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีประสิทธิภาพ ได้แก่ การกำหนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีตกลงราคา วิธีสอบราคา วิธีประกวดราคา กรณีการจัดซื้อจัดจ้างมูลค่าสูงต้องผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างแต่งตั้งโดยคณะกรรมการจัดการ และมีคณะกรรมการตรวจรับเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพและความถูกต้องของงาน
3) การจัดซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas: LNG) เพื่อเป็นทางเลือกเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า กำกับดูแลโดยสายงานธุรกิจแอลเอ็นจี โดยหน่วยงานจัดซื้อภายใต้สายงานจัดทำเอกสารเชิญชวนยื่นข้อเสนอ (Request for Proposal: RFP) ตามข้อกำหนดด้านราคาและคุณภาพของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องให้กับคู่ค้าที่มีการสัญญาซื้อขายหลัก (Master Sale and Purchase Agreement) เพื่อเปรียบเทียบและเสนอเลือกคู่ค้าที่สามารถเสนอราคาและคุณภาพได้ดีที่สุดตามข้อกำหนดในรอบนั้น ๆ ผ่านการอนุมัติจากผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานธุรกิจแอลเอ็นจี และได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง
กลยุทธ์
กำหนดให้ผู้บริหาร และพนักงานบี.กริม เพาเวอร์ ทุกคนมีหน้าที่สนับสนุน ผลักดัน และปฏิบัติภายใต้นโยบายและกรอบการบริหารจัดการการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเคร่งครัด โดยมีกลยุทธ์การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ที่สอดคล้องกับจรรยาบรรณและแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้า ดังนี้
การปฏิบัติตามและความโปร่งใส
- มีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส
- คัดเลือกคู่ค้าที่ดำเนินธุรกิจตามกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคม
ความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม
- คัดเลือกคู่ค้าที่คำนึงถึงอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อผู้มีส่วนได้เสีย อาทิ พนักงาน ชุมชน และสังคม ตอบสนองต่อเป้าหมายการเป็นสถานประกอบการที่ปราศจากอุบัติเหตุ และการเสียชีวิต
ความสัมพันธ์และโอกาสทางธุรกิจ
- ปฏิบัติกับคู่ค้าอย่างเท่าเทียมเสมอภาค พร้อมรักษาความสัมพันธ์อันดี
- แสวงหาความร่วมมือกับคู่ค้าเพื่อลดความเสี่ยงและต่อยอดโอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกัน
เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม
- ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจกับคู่ค้า
ความรับผิดชอบด้าน ESG
- คัดเลือกคู่ค้าที่คำนึงถึงความรับผิดชอบด้าน ESG ผ่านการประเมินตนเองของคู่ค้าระหว่างการคัดเลือกและการปฏิบัติงาน โดยมีการตรวจสอบผลการประเมินจากบี.กริม เพาเวอร์
การบริหารจัดการคู่ค้า
บี.กริม เพาเวอร์ ตระหนักถึงความสำคัญด้านความยั่งยืน จึงกำหนดให้รวมเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกระบวนการบริหารจัดการคู่ค้า ร่วมกับการรักษาคุณภาพและความสัมพันธ์อันดีกับคู่ค้า โดยมุ่งเน้นความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ผ่านกระบวนการ ดังนี้
กระบวนการสรรหาและคัดเลือกคู่ค้า
คู่ค้าต้องผ่านการพิจารณาคัดเลือกตามเกณฑ์คุณสมบัติเบื้องต้นในด้านคุณภาพ ราคา กำหนดส่งมอบ อาชีวอนามัยและความปลอดภัย รวมถึงแนวทางปฏิบัติด้าน ESG เพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าที่จะว่าจ้างมีคุณภาพเหมาะสมและน่าเชื่อถือ โดยคู่ค้าทุกรายต้องรับทราบและปฏิบัติตาม จรรยาบรรณและแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้า รวมถึงให้ความร่วมมือในการตรวจประเมินการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามจรรยาบรรณฯ
การขึ้นทะเบียนคู่ค้าใหม่
คู่ค้าใหม่จะต้องทำแบบประเมินตนเอง (New Supplier Pre-Qualification Form) และรับทราบจรรยาบรรณและแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้า สำหรับคู่ค้าที่มีมูลค่าการซื้อขายเกิน 5 ล้านบาท ผลการดำเนินงานด้าน ESG จะถูกนำมาพิจารณาคัดเลือกโดยคณะกรรมการจัดซื้อ โดยมีสัดส่วนน้ำหนักการพิจารณาร้อยละ 10
การจำแนกประเภทคู่ค้า
การจำแนกประเภทคู่ค้ามีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดซื้อจัดจ้างและหลีกเลี่ยงผลกระทบด้าน ESG จากการดำเนินธุรกิจของคู่ค้า ผ่านการประเมินความเสี่ยงและกำหนดกลยุทธ์ในการจัดซื้อจัดจ้างที่เหมาะสมกับคู่ค้าแต่ละประเภท โดยจำแนกคู่ค้า ตามระดับความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและความเสี่ยงด้าน ESG ของคู่ค้า ดังนี้
1) คู่ค้าหลัก (Critical Tier 1 Supplier) คู่ค้าที่มีมูลค่าสั่งซื้อสูง มีการสั่งซื้อต่อเนื่อง สินค้า/บริการมีความสำคัญสูง หรือ ระดับการพึ่งพาคู่ค้าสูง
2) คู่ค้าทางอ้อมรายสำคัญ (Critical Non-Tier 1 Suppliers) คู่ค้าที่ไม่ได้จัดหาสินค้า/บริการให้บี.กริม เพาเวอร์โดยตรง แต่จัดหาสินค้า/บริการที่มีความสำคัญให้กับคู่ค้าหลัก
3) คู่ค้าหลักที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจ (Significant Suppliers) คู่ค้าหลักและคู่ค้าทางอ้อมที่สำคัญที่มีผลการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG อยู่ในระดับปานกลางและสูง ซึ่งจะต้องได้รับการตรวจประเมินผลการปฏิบัติงานด้านความยั่งยืนของคู่ค้าอย่างต่อเนื่องทุกปี
การประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ของคู่ค้า
บริษัทดำเนินการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ของคู่ค้า เพื่อระบุคู่ค้าที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจซึ่งมีความเสี่ยงด้าน ESG ในระดับปานกลางถึงสูง การประเมินนี้จะช่วยให้สามารถกำหนดแนวทางการบริหารจัดการที่เหมาะสม เช่น การวางแผนการตรวจประเมินผลการดำเนินงานด้าน ESG การพัฒนาเชิงกลยุทธ์ และการติดตามผลการปรับปรุงประเด็นด้าน ESG ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และสอดคล้องกับความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานขององค์กร การประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ของคู่ค้ามีขั้นตอน ดังนี้
1. การระบุประเด็นด้าน ESG ที่นำมาพิจารณาความเสี่ยง โดยพิจารณาประเด็นด้าน ESG ที่มีแนวโน้มเกิดในห่วงโซ่อุปทานระดับสากล และความเกี่ยวข้องโดยตรงกับลักษณะการดำเนินธุรกิจของคู่ค้า แบ่งตามมิติการประเมิน ดังนี้
| มิติในการประเมิน | ประเด็นความเสี่ยงที่พิจารณา |
|---|---|
ธรรมาภิบาล
|
|
สิ่งแวดล้อม
|
|
สังคม
|
|
2. การประเมินระดับความเสี่ยงด้าน ESG ของคู่ค้า อ้างอิงจากเกณฑ์การประเมินความเสี่ยงระดับองค์กร ซึ่งพิจารณาจากทั้งระดับความรุนแรง (Severity) และโอกาสในการเกิดเหตุการณ์ (Likelihood) โดยแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1) ความเสี่ยงด้าน ESG ในระดับประเทศที่คู่ค้าดำเนินธุรกิจ (Country-specific Risk) โดยอ้างอิงตามดัชนี้ชี้วัดผลการดำเนินด้าน ESG ที่เกี่ยวข้องในระดับประเทศ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Sustainable Supply Chain Management Guideline 2) ความเสี่ยงด้าน ESG ในระดับกลุ่มธุรกิจ (Sector-specific Risk) โดยแบ่งคู่ค้าเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม กลุ่มสารเคมี กลุ่มพลังงาน กลุ่มสาธารณูปโภค และธุรกิจที่ปรึกษา โดยอ้างอิงจาก Global Industry Classification Standard (GICS) และ 3) ความเสี่ยงด้าน ESG จากวัตถุดิบโภคภัณฑ์ (Commodity-specific Risk) มุ่งเน้นวัตถุดิบที่เราจัดซื้อเพื่อการผลิตโดยตรงและมีความสำคัญต่อธุรกิจ ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ และสารเคมีกรด-ด่าง โดยอ้างอิงประเภทของโภคภัณฑ์ที่นำมาพิจารณาจาก SBTN High Impact Commodity โดยในปี 2567 บริษัทสามารถระบุประเด็นความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญของคู่ค้า ได้แก่ การทุจริตและติดสินบน การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย และสิทธิมนุษยชน เช่น การดูแลพนักงานและแรงงาน และการไม่ใช้แรงงานบังคับ
การตรวจประเมินผลดำเนินงานด้าน ESG และการติดตามผล
บริษัทดำเนินการตรวจประเมินผลการดำเนินงานด้าน ESG ของคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างอิงจากผลการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ที่ได้ดำเนินการไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถติดตามการปฏิบัติตามจรรยาบรรณทางธุรกิจและแนวทางการดำเนินงานอย่างยั่งยืนของคู่ค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การตรวจประเมินเหล่านี้ดำเนินตามความถี่ที่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงของผู้จัดหาแต่ละราย และผสานกรอบการดำเนินงานด้าน ESG และวิธีการตรวจสอบที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยอ้างอิงมาตรฐานและหลักการสากล เช่น องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO), ISO 14001 และ ISO 45001 รวมถึงใช้กรอบการรายงานและประเมินด้านความยั่งยืนที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก เช่น GRI และแนวปฏิบัติด้าน ESG อื่น ๆ ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เพื่อเป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบแนวทางของบริษัท
- คู่ค้าที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจ (Significant Suppliers) ดำเนินการตรวจประเมินเป็นประจำทุกปี
- คู่ค้าหลักที่มีความเสี่ยงด้าน ESG ในระดับต่ำ ดำเนินการตรวจประเมินทุก 3 ปี
วิธีการตรวจประเมินครอบคลุมหลายแนวทาง อาทิ
- แบบประเมินตนเองของคู่ค้า (Supplier Self-Assessment Questionnaire: SSAQ) ซึ่งได้รับการตรวจสอบและประเมินผลโดยเจ้าหน้าที่ของบริษัท
- การตรวจประเมิน ณ สถานประกอบการ (On-site Audit) เพื่อยืนยันการปฏิบัติงานจริง โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบคู่ค้าที่ปฏิบัติงานในโครงการที่มีความเสี่ยงสูง และคู่ค้าที่ยังไม่เคยถูกตรวจประเมิน
ทั้งนี้ บริษัทจัดทำรายงานผลการประเมินเพื่อใช้ในการติดตามความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาและการปรับปรุงในประเด็น ESG ที่ตรวจพบ พร้อมทั้งวางแผนพัฒนาศักยภาพของคู่ค้าอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งเสริมการยกระดับมาตรฐานด้านความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานโดยรวม
นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลการประเมินของคู่ค้าแต่ละราย กับแนวปฏิบัติของคู่ค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อส่งเสริมความเข้าใจในแนวทางปฏิบัติที่ดีและนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการออกแบบกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ด้าน ESG ให้แก่คู่ค้าอย่างตรงจุด ตัวอย่างกิจกรรม ได้แก่ การจัดอบรม การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ หรือการให้คำปรึกษาแบบเฉพาะราย
ผลการดำเนินงานปี 2567
- ในปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ มีคู่ค้าลำดับที่ 1 (Tier 1 Supplier) 1,210 ราย โดยจัดเป็นคู่ค้าหลัก (Critical Tier 1 Suppliers) 36 ราย ทั้งนี้ ไม่มีคู่ค้าทางอ้อมรายสำคัญ (Critical Non-tier 1 Suppliers) โดยจากการตรวจประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ในคู่ค้าหลักพบว่ามีคู่ค้าที่มีความเสี่ยงด้าน ESG ในระดับปานกลางและสูง 34 ราย ซึ่งจัดเป็นกลุ่มคู่ค้าที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจ (Significant Suppliers)
- คู่ค้าลำดับที่ 1 ร้อยละ 100 รับทราบจรรยาบรรณและแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้า
- จัดตรวจประเมินผลการดำเนินงานด้าน ESG เชิงลึก ครอบคลุมคู่ค้า ดังนี้ 1) คู่ค้าที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจ (Significant Suppliers) ทุกราย จำนวน 34 ราย ซึ่งกำหนดให้ตรวจประเมินทุกปี และ 2) คู่ค้าหลัก (Critical Tier 1 Supplier) ที่มีความเสี่ยงด้าน ESG ในระดับต่ำ 2 ราย ซึ่งมีกำหนดตรวจประเมินทุก 3 ปี โดยใช้วิธีการหลากหลาย เช่น การประเมินตนเองของคู่ค้าตามแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนของบริษัทซึ่งได้รับการตรวจสอบโดยพนักงาน การอ้างอิงมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากลที่คู่ค้าได้ปฏิบัติตาม และการตรวจประเมิน ณ สถานประกอบการ ทั้งนี้ คู่ค้าทุกรายที่มีการตรวจประเมินได้จัดทำแผนงาน และกรอบเวลาในการปรับปรุงประเด็นปัญหาด้าน ESG
- จัดอบรมหัวข้อ “ESG Performance and Climate Change: Addressing Risks and Opportunities to Become a Sustainable Supply Chain” เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในการจัดทำระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและเตรียมพร้อมในการรับมือผลกระทบทางธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นประเด็นที่คู่ค้าส่วนใหญ่ต้องการความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติม ตามผลการประเมินด้าน ESG เชิงลึกในปีที่ผ่านมา โดยมีคู่ค้าที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจเข้าร่วมร้อยละ 89 ของคู่ค้าที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจทั้งหมด
- มุ่งมั่นพัฒนาความรู้ความเข้าใจด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนให้แก่พนักงานจัดซื้อและผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลคู่ค้าในการปฏิบัติตามจรรยาบรรณและแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืน โดยในปี 2567 พนักงานจัดซื้อของเราได้เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อกลยุทธ์การจัดการห่วงโซ่อุปทาน โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพในการวิเคราะห์ กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดด้านการบริหารห่วงโซ่อุปทานให้สอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร รวมถึงสามารถบูรณาการประเด็นด้านความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบและเป็นธรรมในทุกมิติของห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะด้านการเงินที่ส่งผลต่อสภาพคล่องของคู่ค้า ในปีที่ผ่านมา ระยะเวลาการชำระหนี้เฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ 46.1 วัน ซึ่งเป็นผลจากการคำนวณที่รวมภาระผูกพันทางการเงินทุกรูปแบบ เช่น ค่าใช้จ่ายค้างจ่ายจากโครงการก่อสร้าง และรายการค่าใช้จ่ายพนักงานบางประเภท เช่น โบนัสค้างจ่าย เป็นต้น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการชำระเงินให้คู่ค้า เมื่อพิจารณาเฉพาะเจ้าหนี้การค้า ซึ่งสะท้อนธุรกรรมหลักกับคู่ค้าโดยตรง ระยะเวลาการชำระหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 36 วัน สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของบริษัทที่มุ่งชำระเงิน ภายใน 30 วัน หลังได้รับใบแจ้งหนี้ ตามข้อตกลงร่วมกับคู่ค้า เพื่อส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นธรรมและยั่งยืน
